- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 2-8 กันยายน 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 2.212 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.017 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนตุลาคม 2567 อีก 0.003 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
1.2.1 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 – 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.2.2 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม 2,302.16 ล้านบาท ทั้งนี้ กรรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ (1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ และ (7) ช้างป่า
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,378 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,313 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,690 บาท ราคาลดลงจากตันละ 10,779 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 36,370 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 35,330 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.94
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 18,610 บาท ราคาลดลงจากตันละ 18,750 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,034 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,899 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,011 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,113 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 786 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 129 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 129 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.7517 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) เวียดนาม
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม (Ministry of Agriculture and Rural Development: MARD) ระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม – สิงหาคม) เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 6.16 ล้านตัน มีมูลค่าประมาณ 3.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 129.94 พันล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2566 ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 และร้อยละ 21.7 ตามลำดับ โดยราคาส่งออกเฉลี่ยในช่วง 8 เดือนอยู่ที่ประมาณ 542 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (ประมาณ 18,293.42 บาทต่อตัน) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 11.5 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 เวียดนามตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวมากกว่า 8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 168.76 พันล้านบาท) เนื่องจากหน่วยงานด้านโลจิสติกส์แห่งชาติ (Bulog) ของอินโดนีเซียยังคงต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มเติมอีกประมาณ 0.9 ล้านตัน ภายในปี 2567 เป็นผลมาจาก การคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะลดลง ประกอบกับการปลูกข้าวอาจล่าช้ากว่ากำหนด นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ คาดว่าตลาดข้าวหลักหลายแห่งของเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์ และจีน จะมีความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.7517 บาท
2) กัมพูชา – อินโดนีเซีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ รายงานว่า กัมพูชาและอินโดนีเซียเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) เกี่ยวกับการค้าข้าวและเที่ยวบินตรง ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียและกัมพูชา ผ่านหน่วยงานด้านโลจิสติกส์แห่งชาติ (The State Logistics Agency – BULOG) ของอินโดนีเซีย และ Green Trade ของกัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมเที่ยวบินตรงระหว่างสองประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจ Perum BULOG ของอินโดนีเซียจะเข้ามาลงทุนในกัมพูชาด้านการเกษตร เช่น โรงสีข้าว และคลังสินค้า
ทั้งนี้ อินโดนีเซียถือเป็นตลาดข้าวที่สำคัญของกัมพูชา โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม - กรกฎาคม) กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซียปริมาณ 22,500 ตัน หาก MoU ว่าด้วยการค้าข้าวของกัมพูชาและอินโดนีเซียมีผลบังคับใช้ จะทำให้กัมพูชาสามารถส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซียได้สูงถึง 250,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2567 - 2571 และคาดว่าการค้าข้าวและการท่องเที่ยวระหว่างกัมพูชาและอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้กัมพูชามีตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 2.212 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.017 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนตุลาคม 2567 อีก 0.003 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
1.2.1 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 – 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.2.2 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม 2,302.16 ล้านบาท ทั้งนี้ กรรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ (1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ และ (7) ช้างป่า
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,378 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,313 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,690 บาท ราคาลดลงจากตันละ 10,779 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 36,370 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 35,330 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.94
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 18,610 บาท ราคาลดลงจากตันละ 18,750 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,034 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,899 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,011 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,113 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 786 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 129 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 129 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.7517 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) เวียดนาม
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม (Ministry of Agriculture and Rural Development: MARD) ระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม – สิงหาคม) เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 6.16 ล้านตัน มีมูลค่าประมาณ 3.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 129.94 พันล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2566 ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 และร้อยละ 21.7 ตามลำดับ โดยราคาส่งออกเฉลี่ยในช่วง 8 เดือนอยู่ที่ประมาณ 542 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (ประมาณ 18,293.42 บาทต่อตัน) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 11.5 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 เวียดนามตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวมากกว่า 8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 168.76 พันล้านบาท) เนื่องจากหน่วยงานด้านโลจิสติกส์แห่งชาติ (Bulog) ของอินโดนีเซียยังคงต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มเติมอีกประมาณ 0.9 ล้านตัน ภายในปี 2567 เป็นผลมาจาก การคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะลดลง ประกอบกับการปลูกข้าวอาจล่าช้ากว่ากำหนด นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ คาดว่าตลาดข้าวหลักหลายแห่งของเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์ และจีน จะมีความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.7517 บาท
2) กัมพูชา – อินโดนีเซีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ รายงานว่า กัมพูชาและอินโดนีเซียเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) เกี่ยวกับการค้าข้าวและเที่ยวบินตรง ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียและกัมพูชา ผ่านหน่วยงานด้านโลจิสติกส์แห่งชาติ (The State Logistics Agency – BULOG) ของอินโดนีเซีย และ Green Trade ของกัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมเที่ยวบินตรงระหว่างสองประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจ Perum BULOG ของอินโดนีเซียจะเข้ามาลงทุนในกัมพูชาด้านการเกษตร เช่น โรงสีข้าว และคลังสินค้า
ทั้งนี้ อินโดนีเซียถือเป็นตลาดข้าวที่สำคัญของกัมพูชา โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม - กรกฎาคม) กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซียปริมาณ 22,500 ตัน หาก MoU ว่าด้วยการค้าข้าวของกัมพูชาและอินโดนีเซียมีผลบังคับใช้ จะทำให้กัมพูชาสามารถส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซียได้สูงถึง 250,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2567 - 2571 และคาดว่าการค้าข้าวและการท่องเที่ยวระหว่างกัมพูชาและอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้กัมพูชามีตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.01 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.08 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.77 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.58 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.67 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.17
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 11.86 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 12.08 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.82
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 356.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,022.00 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 363.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,248.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.93 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 226.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 410.00 เซนต์ (5,511.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 369.00 เซนต์ (4,960.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 11.11 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 551.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.682 ล้านไร่ ผลผลิต 26.883 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,096 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.268 ล้านไร่ ผลผลิต 30.617 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,303 กิโลกรัม พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 6.32 ร้อยละ 12.20 และร้อยละ 6.27 ตามลำดับ โดยเดือน กันยายน 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.62 ล้านตัน (ร้อยละ 2.30 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 15.72 ล้านตัน (ร้อยละ 58.46 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อย หัวมันสำปะหลังมีคุณภาพเพิ่มขึ้นเนื่องจากเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งสูง สำหรับโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.03 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.92 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 5.73
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.98 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.99 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.17
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.52 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.59 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.92
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขตกรุงเทพ และปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.50 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 17.60 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.57
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 242.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,270 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน ตันละ 242.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,270 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 522.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,810 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน ตันละ 522.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,800 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกันยายนจะมีประมาณ 1.290 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.232 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.559 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.281 ล้านตันของเดือนสิงหาคม คิดเป็นร้อยละ 17.25 และร้อยละ 17.44 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้ เฉลี่ย กก.ละ 6.58 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.49 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.39
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 33.53 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 33.63 บาท ในกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.30
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,005.37 ริงกิตมาเลเซีย (31.80 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 4,021.51 ริงกิตมาเลเซีย (31.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.40
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,105.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.76 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,110.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.93 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.50
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- บริษัทที่ปรึกษา Datagro ปรับคาดการณ์การหีบอ้อยภาคกลาง – ใต้ของประเทศบราซิล ในปี 2567/68 ลดลง 9 ล้านตัน เหลือ 593 ล้านตัน เนื่องจากมีความกังวลถึงปัจจัยความสูญเสียอันเนื่องมาจากภัยแล้ง และไฟไหม้ ซึ่งส่งผลให้ประมาณการปริมาณผลผลิตน้ำตาลในภาคกลาง – ใต้ของบราซิลลดลงเหลือ 39.30 ล้านตัน
จาก 40.03 ล้านตัน และปรับลดประมาณการการผลิตเอทานอลจากข้าวโพด และอ้อยลดลง เหลือ 32.52 พันล้านลิตร จาก 32.96 พันล้านลิตร ที่คาดไว้ก่อนหน้า โดย Datagro คาดการณ์ว่า สัดส่วนของอ้อยที่นำไปผลิตน้ำตาล
อยู่ที่ร้อยละ 49.60
- สมาคมชาวไร่อ้อยทางตะวันตกของรัฐเซาเปาโล (Canaoeste) ประเทศบราซิล รายงานว่า พื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ และมีการเก็บเกี่ยวไปแล้วอาจต้องดำเนินการปลูกอ้อยใหม่ทดแทน ซึ่งหมายความว่า อ้อยจะพร้อมเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูกาล 2569/70 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ปรึกษา Datagro กล่าวว่า ยังคงต้อง
เฝ้าติดตาม และประเมินผลกระทบของไฟไหม้ต่อการเก็บเกี่ยวปี 2568/69 อย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานอาจต้องชะลอการเริ่มต้นฤดูกาลเปิดหีบเพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการปลูกอ้อยใหม่ทดแทน
- สื่อท้องถิ่น รายงานว่า ฝนตกหนักทำให้น้ำขังไร่อ้อยในเขตโกลฮาปูร์ (Kolhapur) รัฐมหาราษฏระ(Maharashtra) ของประเทศอินเดีย ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าการเจริญเติบโตของอ้อยอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบ ด้านสื่อท้องถิ่นอีกแห่งรายงานว่า ในรัฐมารัธวาดา (Marathwada) พื้นที่เพาะปลูกอ้อยมากกว่า 1 ล้านเฮกตาร์ ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่มากเกินไปนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน
- สำนักงานกำกับดูแลน้ำตาล (SRA) ของประเทศฟิลิปปินส์ เตือนว่า ผลผลิตน้ำตาลของฟิลิปปินส์น่าจะลดลงเหลือ 1.78 ล้านตัน ในปี 2567/68 จาก 1.92 ล้านตัน ในปี 2566/67 และต่ำสุดในรอบ 25 ปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) และคาดว่า ปริมาณผลผลิตน้ำตาลทั้งหมดจะถูกจัดสรรเพื่อใช้สำหรับการบริโภคภายในประเทศ โดย SRA รายงานเพิ่มเติมว่า เรือที่บรรทุกน้ำตาลทรายดิบจำนวน 23,500 ตัน ไปยังสหรัฐฯ
มีกำหนดออกจากฟิลิปปินส์ในวันที่ 3 กันยายน 2567
(ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
- ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- บริษัทที่ปรึกษา Datagro ปรับคาดการณ์การหีบอ้อยภาคกลาง – ใต้ของประเทศบราซิล ในปี 2567/68 ลดลง 9 ล้านตัน เหลือ 593 ล้านตัน เนื่องจากมีความกังวลถึงปัจจัยความสูญเสียอันเนื่องมาจากภัยแล้ง และไฟไหม้ ซึ่งส่งผลให้ประมาณการปริมาณผลผลิตน้ำตาลในภาคกลาง – ใต้ของบราซิลลดลงเหลือ 39.30 ล้านตัน
จาก 40.03 ล้านตัน และปรับลดประมาณการการผลิตเอทานอลจากข้าวโพด และอ้อยลดลง เหลือ 32.52 พันล้านลิตร จาก 32.96 พันล้านลิตร ที่คาดไว้ก่อนหน้า โดย Datagro คาดการณ์ว่า สัดส่วนของอ้อยที่นำไปผลิตน้ำตาล
อยู่ที่ร้อยละ 49.60
- สมาคมชาวไร่อ้อยทางตะวันตกของรัฐเซาเปาโล (Canaoeste) ประเทศบราซิล รายงานว่า พื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ และมีการเก็บเกี่ยวไปแล้วอาจต้องดำเนินการปลูกอ้อยใหม่ทดแทน ซึ่งหมายความว่า อ้อยจะพร้อมเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูกาล 2569/70 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ปรึกษา Datagro กล่าวว่า ยังคงต้อง
เฝ้าติดตาม และประเมินผลกระทบของไฟไหม้ต่อการเก็บเกี่ยวปี 2568/69 อย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานอาจต้องชะลอการเริ่มต้นฤดูกาลเปิดหีบเพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการปลูกอ้อยใหม่ทดแทน
- สื่อท้องถิ่น รายงานว่า ฝนตกหนักทำให้น้ำขังไร่อ้อยในเขตโกลฮาปูร์ (Kolhapur) รัฐมหาราษฏระ(Maharashtra) ของประเทศอินเดีย ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าการเจริญเติบโตของอ้อยอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบ ด้านสื่อท้องถิ่นอีกแห่งรายงานว่า ในรัฐมารัธวาดา (Marathwada) พื้นที่เพาะปลูกอ้อยมากกว่า 1 ล้านเฮกตาร์ ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่มากเกินไปนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน
- สำนักงานกำกับดูแลน้ำตาล (SRA) ของประเทศฟิลิปปินส์ เตือนว่า ผลผลิตน้ำตาลของฟิลิปปินส์น่าจะลดลงเหลือ 1.78 ล้านตัน ในปี 2567/68 จาก 1.92 ล้านตัน ในปี 2566/67 และต่ำสุดในรอบ 25 ปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) และคาดว่า ปริมาณผลผลิตน้ำตาลทั้งหมดจะถูกจัดสรรเพื่อใช้สำหรับการบริโภคภายในประเทศ โดย SRA รายงานเพิ่มเติมว่า เรือที่บรรทุกน้ำตาลทรายดิบจำนวน 23,500 ตัน ไปยังสหรัฐฯ
มีกำหนดออกจากฟิลิปปินส์ในวันที่ 3 กันยายน 2567
(ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 17 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,000.10 เซนต์ (12.56 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 968.20 เซนต์ (12.15 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.29
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 320.65 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.96 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 312.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.66 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.33
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 41.63 เซนต์ (31.35 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 42.19 เซนต์ (31.76 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.75
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 17 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,000.10 เซนต์ (12.56 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 968.20 เซนต์ (12.15 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.29
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 320.65 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.96 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 312.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.66 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.33
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 41.63 เซนต์ (31.35 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 42.19 เซนต์ (31.76 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.75
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 51.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1035.80 ดอลลาร์สหรัฐ (34.96 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ1039.20 ดอลลาร์สหรัฐ (35.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.33 และลดลงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.10 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 887.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.94 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 890.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.09 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,541.80 ดอลลาร์สหรัฐ (52.04 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,547.20 ดอลลาร์สหรัฐ (52.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.17 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1154.80 ดอลลาร์สหรัฐ (38.98 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1158.80 ดอลลาร์สหรัฐ (39.10 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.12 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 911.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.75 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ ละ 913.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.83 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.31 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.09 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.66 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.08 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.23
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,149 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,611 ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 971 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
ไข่เป็ด
โคเนื้อ
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 71.27 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 71.15 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.17 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 64.03 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.80 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.14 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 75.31 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 72.50 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายราคาไก่เนื้อลดลงเล็กน้อย เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 41.01 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 41.05 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.10 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.70 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 17.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.70 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 43.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.84 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.10 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.68 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 379 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 378 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.26 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 345 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 365 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 395 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 432 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 422 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 419 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.72 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 441 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 435 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 393 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 440 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 510 บาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 79.14 บาทลดลงจากกิโลกรัมละ 80.11 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.21 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.56 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 69.27 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.94 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 99.76 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 57.94 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 57.76 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.31 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 52.32 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 2 – 8 กันยายน 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 64.45 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 63.60 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.85 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.40 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 81.56 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.16 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.80 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 129.27 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.53 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.55 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 60.92 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 12.63 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 250.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.07 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละบาท 26.00 ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 2 – 8 กันยายน 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 64.45 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 63.60 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.85 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.40 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 81.56 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.16 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.80 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 129.27 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.53 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.55 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 60.92 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 12.63 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 250.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.07 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละบาท 26.00 ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา