- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 26 สิงหาคม-1 กันยายน 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 2.212 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.017 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนตุลาคม 2567 อีก 0.003 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,313 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,231 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.53
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,779 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,778 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 35,330 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 35,070 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 18,750 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,011 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,113 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 988 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,671 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.33 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 442 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 589 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,073 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.21 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 240 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 592 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,176 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.69 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 137 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.7423 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) ญี่ปุ่น
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโอซากา รายงานว่า ราคาข้าวสารในญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาขายส่ง ณ เดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 15,626 เยนต่อ 60 กิโลกรัม (ประมาณ 3,611 บาทต่อ 60 กิโลกรัม หรือ 60 บาทต่อกิโลกรัม) สูงขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งเป็นราคาสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ด้านปริมาณสต็อกข้าวสารทั่วประเทศลดลงถึง 410,000 ตัน โดย ณ เดือนมิถุนายนมีสต็อกข้าวสารปริมาณ 1.56 ล้านตัน เป็นปริมาณต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2542 ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2,500 เยนต่อ 5 กิโลกรัม (ประมาณ 577 บาทต่อ 5 กิโลกรัม หรือ 115 บาทต่อกิโลกรัม) สูงขึ้นร้อยละ 66.67 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่ราคา 1,500 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม (ประมาณ 347 บาทต่อ 5 กิโลกรัม หรือ 69 บาทต่อกิโลกรัม) และราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยในเดือนสิงหาคมปรับขึ้นอีกประมาณ 400 เยนต่อ 5 กิโลกรัม (ประมาณ 92 บาทต่อ 5 กิโลกรัม หรือ 18 บาทต่อกิโลกรัม) ทำให้ร้านซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งได้ยกเลิกการจำหน่ายข้าวสารราคาประหยัด รวมถึงการจำกัดการซื้อข้าวสารจำนวนสองถุงต่อครอบครัว
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาข้าวปรับสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตลดลงจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ในฤดูกาลเพาะปลูกที่แล้วส่งผลให้เมล็ดข้าวบิ่นและหัก ประกอบกับความต้องการบริโภคในธุรกิจบริการร้านอาหารเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และเทรนด์การรับประทานอาหารนอกบ้านหลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย รวมทั้งราคาขนมปังและบะหมี่สูงขึ้นทำให้ชาวญี่ปุ่นหันมาบริโภคข้าวแทน นอกจากนี้ หลังจากมีคำเตือนแผ่นดินไหวใหญ่ใน“แอ่งนันไค” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวญี่ปุ่นเกิดความตื่นตระหนกและมีการกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ โดยเฉพาะข้าวสาร ส่งผลให้สถานการณ์ข้าวสารขาดแคลนรุนแรงขึ้น
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 เยน เท่ากับ 0.2311 บาท
2) ตรินิแดดและโตเบโก
ตรินิแดดและโตเบโกเป็นประเทศในภูมิภาคแคริบเบียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาและความท้าทายของตรินิแดดและโตเบโก คือ ภาคการเกษตร การเพาะปลูก และการผลิตข้าวในประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนพื้นที่ กำลัง และอัตราการผลิตอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อปริมาณข้าวที่ผลิตได้ภายในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ โดยสาเหตุที่ทำให้ตรินิแดดและโตเบโกเผชิญกับปัญหาดังกล่าวประกอบด้วย 1) การชำระหนี้ที่ล่าช้าของรัฐวิสาหกิจโรงโม่แป้ง (NFM) ที่ทำหน้าที่เป็นโรงสีข้าวหลัก แต่ไม่สามารถชำระค่าข้าวให้กับเกษตรกรได้ตรงตามเวลา 2) เกษตรกรอยู่ในภาวะเป็นหนี้สิน สืบเนื่องมาจากเหตุผลข้อที่หนึ่งบางส่วนและผลกระทบในด้านการเพาะปลูก 3) ต้นทุนในการเพาะปลูกสูงขึ้น เช่น ปุ๋ย และอุปกรณ์การเกษตรมีราคาสูง 4) ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าว 5) ปริมาณผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 6) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิภาพอากาศ 7) ขาดแคลนอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการเกษตรที่เหมาะสม 8) ปัญหาระบบชลประทานและสิ่งแวดล้อม และ 9) ปัญหาเชิงนโยบายจากภาครัฐที่ไม่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตรเท่าที่ควร
ทั้งนี้ รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาการเพาะปลูกและการผลิตข้าวในประเทศ โดยการนำบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในการจัดตั้งโรงสีในประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งหนทางในการลดปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศและเป็นการเพิ่มการจ้างงานในเวลาเดียวกัน ในการนี้ ได้มีตัวแทนเกษตรกรตั้งคำถามถึงผลลัพธ์จากความพยายามที่จะตั้งโรงสีของรัฐบาล ขณะที่กำลังการผลิตข้าวในประเทศยังขาดแคลนอยู่นั้นการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาในทิศทางใด ตลอดจนการนำนักลงทุนต่างชาติเข้ามาจะทำให้โรงสีและธุรกิจการผลิตข้าวท้องถิ่นได้รับผลกระทบอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 2.212 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.017 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนตุลาคม 2567 อีก 0.003 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,313 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,231 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.53
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,779 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,778 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 35,330 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 35,070 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 18,750 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,011 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,113 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 988 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,671 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.33 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 442 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 589 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,073 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.21 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 240 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 602 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,313 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 592 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,176 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.69 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 137 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.7423 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) ญี่ปุ่น
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโอซากา รายงานว่า ราคาข้าวสารในญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาขายส่ง ณ เดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 15,626 เยนต่อ 60 กิโลกรัม (ประมาณ 3,611 บาทต่อ 60 กิโลกรัม หรือ 60 บาทต่อกิโลกรัม) สูงขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งเป็นราคาสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ด้านปริมาณสต็อกข้าวสารทั่วประเทศลดลงถึง 410,000 ตัน โดย ณ เดือนมิถุนายนมีสต็อกข้าวสารปริมาณ 1.56 ล้านตัน เป็นปริมาณต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2542 ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2,500 เยนต่อ 5 กิโลกรัม (ประมาณ 577 บาทต่อ 5 กิโลกรัม หรือ 115 บาทต่อกิโลกรัม) สูงขึ้นร้อยละ 66.67 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่ราคา 1,500 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม (ประมาณ 347 บาทต่อ 5 กิโลกรัม หรือ 69 บาทต่อกิโลกรัม) และราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยในเดือนสิงหาคมปรับขึ้นอีกประมาณ 400 เยนต่อ 5 กิโลกรัม (ประมาณ 92 บาทต่อ 5 กิโลกรัม หรือ 18 บาทต่อกิโลกรัม) ทำให้ร้านซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งได้ยกเลิกการจำหน่ายข้าวสารราคาประหยัด รวมถึงการจำกัดการซื้อข้าวสารจำนวนสองถุงต่อครอบครัว
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาข้าวปรับสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตลดลงจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ในฤดูกาลเพาะปลูกที่แล้วส่งผลให้เมล็ดข้าวบิ่นและหัก ประกอบกับความต้องการบริโภคในธุรกิจบริการร้านอาหารเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และเทรนด์การรับประทานอาหารนอกบ้านหลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย รวมทั้งราคาขนมปังและบะหมี่สูงขึ้นทำให้ชาวญี่ปุ่นหันมาบริโภคข้าวแทน นอกจากนี้ หลังจากมีคำเตือนแผ่นดินไหวใหญ่ใน“แอ่งนันไค” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวญี่ปุ่นเกิดความตื่นตระหนกและมีการกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ โดยเฉพาะข้าวสาร ส่งผลให้สถานการณ์ข้าวสารขาดแคลนรุนแรงขึ้น
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 เยน เท่ากับ 0.2311 บาท
2) ตรินิแดดและโตเบโก
ตรินิแดดและโตเบโกเป็นประเทศในภูมิภาคแคริบเบียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาและความท้าทายของตรินิแดดและโตเบโก คือ ภาคการเกษตร การเพาะปลูก และการผลิตข้าวในประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนพื้นที่ กำลัง และอัตราการผลิตอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อปริมาณข้าวที่ผลิตได้ภายในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ โดยสาเหตุที่ทำให้ตรินิแดดและโตเบโกเผชิญกับปัญหาดังกล่าวประกอบด้วย 1) การชำระหนี้ที่ล่าช้าของรัฐวิสาหกิจโรงโม่แป้ง (NFM) ที่ทำหน้าที่เป็นโรงสีข้าวหลัก แต่ไม่สามารถชำระค่าข้าวให้กับเกษตรกรได้ตรงตามเวลา 2) เกษตรกรอยู่ในภาวะเป็นหนี้สิน สืบเนื่องมาจากเหตุผลข้อที่หนึ่งบางส่วนและผลกระทบในด้านการเพาะปลูก 3) ต้นทุนในการเพาะปลูกสูงขึ้น เช่น ปุ๋ย และอุปกรณ์การเกษตรมีราคาสูง 4) ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าว 5) ปริมาณผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 6) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิภาพอากาศ 7) ขาดแคลนอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการเกษตรที่เหมาะสม 8) ปัญหาระบบชลประทานและสิ่งแวดล้อม และ 9) ปัญหาเชิงนโยบายจากภาครัฐที่ไม่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตรเท่าที่ควร
ทั้งนี้ รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาการเพาะปลูกและการผลิตข้าวในประเทศ โดยการนำบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในการจัดตั้งโรงสีในประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งหนทางในการลดปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศและเป็นการเพิ่มการจ้างงานในเวลาเดียวกัน ในการนี้ ได้มีตัวแทนเกษตรกรตั้งคำถามถึงผลลัพธ์จากความพยายามที่จะตั้งโรงสีของรัฐบาล ขณะที่กำลังการผลิตข้าวในประเทศยังขาดแคลนอยู่นั้นการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาในทิศทางใด ตลอดจนการนำนักลงทุนต่างชาติเข้ามาจะทำให้โรงสีและธุรกิจการผลิตข้าวท้องถิ่นได้รับผลกระทบอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.08 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.16 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5%
สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.67 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.73 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.78
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.08 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 363.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,249.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากตันละ 359.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,235.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.11 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 14.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 369.00 เซนต์ (4,960.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 374.00 เซนต์ (5,072.00 บาท/ตัน)
ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.34 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 112.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.682 ล้านไร่ ผลผลิต 26.883 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,096 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.268 ล้านไร่
ผลผลิต 30.617 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,303 กิโลกรัม พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 6.32 ร้อยละ 12.20 และร้อยละ 6.27 ตามลำดับ โดยเดือน สิงหาคม 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.53 ล้านตัน (ร้อยละ 1.96 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 15.72 ล้านตัน (ร้อยละ 58.46 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อย หัวมันสำปะหลังมีคุณภาพเพิ่มขึ้นเนื่องจากเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งสูง สำหรับโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.92 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.85 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 3.78
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.99 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.09 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.64
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.59 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.70 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.43
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขตกรุงเทพ และปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.60 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 17.75 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.85
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 242.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,270 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน ตันละ 242.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,360 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 522.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,800 บาทต่อตัน) ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 520.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,940 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.38
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนสิงหาคมจะมีประมาณ 1.286 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.231 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.524 ล้านตัน
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.274 ล้านตันของเดือนกรกฎาคม คิดเป็นร้อยละ 15.62 และร้อยละ 15.69 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้ เฉลี่ย กก.ละ 6.14 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.90 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.07
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 33.63 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.75 บาท ในกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.69
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,021.51 ริงกิตมาเลเซีย (31.97 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 3,913.94 ริงกิตมาเลเซีย (31.14 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.75
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,110.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.93 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,080.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.28 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.78
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- รัฐเซาเปาโล (Sao Paulo) ประเทศบราซิล เผชิญเหตุไฟไหม้รุนแรงเป็นประวัติการณ์ จากคลื่นความร้อนสูงและความชื้นต่ำ ด้านบริษัทที่ปรึกษา Green Pool Commodity และ FG/A คาดการณ์ว่า ไฟไหม้ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตอ้อยประมาณร้อยละ 1.40 ของผลผลิตทั้งหมดในรัฐเซาเปาโล หรือเทียบเท่าปริมาณอ้อย
5 ล้านตัน ด้านโรงงานน้ำตาล Sao Martinho กล่าวว่า พื้นที่เพาะปลูกของโรงงานประมาณ 20,000 เฮกตาร์
ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ แต่คาดว่าสามารถนำอ้อยเข้าหีบได้ เช่นเดียวกับ Raizen ผู้ผลิตรายใหญ่ กล่าวว่า ผลผลิตอ้อยของบริษัทและซัพพลายเออร์ประมาณ 1.80 ล้านตัน ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้ แต่คาดว่าสามารถนำอ้อยเข้าหีบได้เช่นกัน (ที่มา: The Business Times)
- สถานเอกอัครราชทูตประเทศบราซิล ประจำอินเดีย กล่าวว่า ข้อพิพาททางการค้าของ WTO ระหว่างบราซิล และอินเดียได้สิ้นสุดลง และขณะนี้ทั้งสองประเทศกำลังดำเนินการหาแนวทางทำงานร่วมกันในการส่งเสริม
ด้านเทคโนโลยีการผลิตเอทานอล (ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
- แหล่งข่าวของประเทศจีน รายงานว่า พื้นที่เพาะปลูกอ้อยในมณฑลยูนนาน (Yunnan) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 – 8 ในฤดูกาลนี้ และผลผลิตอ้อยอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่ดี อย่างไรก็ตาม ได้ระบุข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า มณฑลยูนนานยังคงมีปัญหาที่น่ากังวล คือ ปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอ และพื้นที่บางส่วนยังคงประสบปัญหาน้ำท่วม (ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
- ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- รัฐเซาเปาโล (Sao Paulo) ประเทศบราซิล เผชิญเหตุไฟไหม้รุนแรงเป็นประวัติการณ์ จากคลื่นความร้อนสูงและความชื้นต่ำ ด้านบริษัทที่ปรึกษา Green Pool Commodity และ FG/A คาดการณ์ว่า ไฟไหม้ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตอ้อยประมาณร้อยละ 1.40 ของผลผลิตทั้งหมดในรัฐเซาเปาโล หรือเทียบเท่าปริมาณอ้อย
5 ล้านตัน ด้านโรงงานน้ำตาล Sao Martinho กล่าวว่า พื้นที่เพาะปลูกของโรงงานประมาณ 20,000 เฮกตาร์
ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ แต่คาดว่าสามารถนำอ้อยเข้าหีบได้ เช่นเดียวกับ Raizen ผู้ผลิตรายใหญ่ กล่าวว่า ผลผลิตอ้อยของบริษัทและซัพพลายเออร์ประมาณ 1.80 ล้านตัน ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้ แต่คาดว่าสามารถนำอ้อยเข้าหีบได้เช่นกัน (ที่มา: The Business Times)
- สถานเอกอัครราชทูตประเทศบราซิล ประจำอินเดีย กล่าวว่า ข้อพิพาททางการค้าของ WTO ระหว่างบราซิล และอินเดียได้สิ้นสุดลง และขณะนี้ทั้งสองประเทศกำลังดำเนินการหาแนวทางทำงานร่วมกันในการส่งเสริม
ด้านเทคโนโลยีการผลิตเอทานอล (ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
- แหล่งข่าวของประเทศจีน รายงานว่า พื้นที่เพาะปลูกอ้อยในมณฑลยูนนาน (Yunnan) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 – 8 ในฤดูกาลนี้ และผลผลิตอ้อยอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่ดี อย่างไรก็ตาม ได้ระบุข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า มณฑลยูนนานยังคงมีปัญหาที่น่ากังวล คือ ปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอ และพื้นที่บางส่วนยังคงประสบปัญหาน้ำท่วม (ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 17 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 968.20 เซนต์ (12.15 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 833.92 เซนต์ (10.57 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 16.10
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 312.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.66 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 309.84 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.69 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.72
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 42.19 เซนต์ (31.76 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 40.82 เซนต์ (31.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.36
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 17 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 968.20 เซนต์ (12.15 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 833.92 เซนต์ (10.57 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 16.10
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 312.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.66 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 309.84 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.69 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.72
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 42.19 เซนต์ (31.76 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 40.82 เซนต์ (31.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.36
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 51.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1039.20 ดอลลาร์สหรัฐ (35.07 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ1028.20 ดอลลาร์สหรัฐ (35.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.07 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 890.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.03 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 880.40 ดอลลาร์สหรัฐ (30.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,547.20 ดอลลาร์สหรัฐ (52.21 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,530.20 ดอลลาร์สหรัฐ (52.15 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.11 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.06 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1158.80 ดอลลาร์สหรัฐ (39.10 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1146.20 ดอลลาร์สหรัฐ (39.06 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.10 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 913.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.83 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ ละ 903.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.80 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.11 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.08 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.38 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,149 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,611 ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 971 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 955 บาทคิดเป็นร้อยละ 1.68 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 71.15 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 70.31 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.19 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 64.02 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.98 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.09 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 74.06 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 72.50 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 41.05 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.75 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 17.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 378 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 345 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 365 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 394 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 432 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 419 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 440 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 432 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 391 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 433 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 510 บาทสูงขึ้นจากร้อยฟองละ 500 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 80.11 บาทลดลงจากกิโลกรัมละ 80.25 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.17 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.56 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 70.57 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 76.46 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.11 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 57.76 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.01 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.43 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 52.11 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 71.15 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 70.31 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.19 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 64.02 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.98 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.09 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 74.06 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 72.50 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 41.05 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.75 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 17.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 378 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 345 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 365 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 394 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 432 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 419 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 440 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 432 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 391 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 433 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 510 บาทสูงขึ้นจากร้อยฟองละ 500 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 80.11 บาทลดลงจากกิโลกรัมละ 80.25 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.17 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.56 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 70.57 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 76.46 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.11 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 57.76 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.01 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.43 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 52.11 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.60 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 61.97 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.63 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 81.56 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 82.51 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.95 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 129.27 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 129.26 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.01 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 134.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.92 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.95 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.03 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 250.00 บาท
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.07 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 31.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท
และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละบาท 26.00 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 26.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.60 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 61.97 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.63 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 81.56 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 82.51 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.95 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 129.27 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 129.26 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.01 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 134.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.92 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.95 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.03 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 250.00 บาท
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.07 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 31.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท
และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละบาท 26.00 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 26.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท