- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 9-15 กันยายน 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 2.212 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.017 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนตุลาคม 2567 อีก 0.003 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,472 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,378 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,743 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,690 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.49
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 36,850 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 36,370 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.32
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 17,790 บาท ราคาลดลงจากตันละ 18,610 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.41
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,052 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,507 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,034 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,899 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.74 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 608 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 578 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19,508 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.34 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 676 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 581 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19,610 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.84 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 574 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4224 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) ไทย
ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวที่สำคัญของโลก โดยปี 2565/66 ไทยมีผลผลิตข้าวสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.1 ของผลผลิตข้าวทั่วโลก รองจากจีน อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และเวียดนาม นับตั้งแต่สงครามความขัดแย้งที่เริ่มต้นปี 2565 ส่งผลให้ราคาธัญพืชในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ข้าวสาลี ฯลฯ ทำให้หลายประเทศทั่วโลกหันมาซื้อข้าวเป็นสินค้าทดแทน รวมถึงผู้นำเข้าบางรายต้องนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวในประเทศไปปลูกข้าวโพดและข้าวสาลีแทน ส่งผลให้ไทยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 ไทยมีปริมาณส่งออกข้าว 8.8 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นมูลค่า 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 170.45 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4
ในปี 2567 ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดส่งออกโดยรวมยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากอินเดียซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งสำคัญยังคงมาตรการระงับการส่งออกข้าวขาว ทำให้ประเทศคู่ค้าหันมานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการสำรองข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารที่ยังคงมีอยู่ ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงจากภาวะเอลนีโญ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี (เดือนมกราคม – มิถุนายน) ไทยส่งออกข้าว 5.1 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 110.29 พันล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 โดยมีตลาดส่งออกข้าวหลัก คือ อินโดนีเซีย มีสัดส่วนร้อยละ 20.5 รองลงมา ได้แก่ อิรัก ร้อยละ 9.9 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 7.9 แอฟริกาใต้ ร้อยละ 7.2 และฟิลิปปินส์ ร้อยละ 5.7 เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวขาว ปลายข้าว ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว ซึ่งไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และคาดว่าการส่งออกทั้งปี 2567 จะมีประมาณ 8.8 – 9 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 - 2.5 อย่างไรก็ตาม การส่งออกข้าวในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีแนวโน้มปรับลดลงอยู่ที่ประมาณ 7.8 – 8 ล้านตันข้าวสาร เนื่องจากประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะอินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน มีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคาหลังจากปัญหาด้านอุปทานเริ่มคลี่คลายลง
ที่มา วิจัยกรุงศรี , ไทยรัฐออนไลน์
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4224 บาท
2) เมียนมา
สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation: MRF) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567/68 (เดือนเมษายน – สิงหาคม) เมียนมาส่งออกข้าวสารและปลายข้าวปริมาณ 0.72 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 353 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 11,798.11 ล้านบาท) โดยในเดือนสิงหาคมส่งออก 0.21 ล้านตัน มูลค่า 97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,241.97 ล้านบาท) เป็นการส่งออกทั้งทางทะเลและทางบกไปยัง 30 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซีย จีน ฟิลิปปินส์ เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม สำหรับปีงบประมาณ 2566/67 ส่งออกข้าวได้มากกว่า 1.6 ล้านตัน มูลค่า 845 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 28,241.93 ล้านบาท)
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4224 บาท
3) อินโดนีเซีย
สำนักงานอาหารแห่งชาติอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียตั้งเป้าสำรองข้าวปริมาณ 2 ล้านตัน ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2567 เพื่อเตรียมรับมือกับความต้องการข้าวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเลือกตั้งระดับภูมิภาคที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ประกอบกับการผลิตภายในประเทศที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงปลายปี 2567 – ต้นปี 2568 โดยปัจจุบัน (ณ วันที่ 2 กันยายน 2567) อินโดนีเซียมีปริมาณข้าวสำรองอยู่ที่ประมาณ 1.39 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวสารที่อยู่ในสต็อกแล้วปริมาณ 1.31 ล้านต้น และเป็นข้าวสารที่อยู่ระหว่างการนำเข้าปริมาณ 0.08 ล้านต้น
ในขณะที่ นาย Bayu Krisnamurthi กรรมการผู้จัดการของหน่วยงานด้านโลจิสติกส์แห่งชาติอินโดนีเซีย (President Director of Perum Bulog) ได้ประกาศแผนการนำเข้าข้าวในปี 2567 ประมาณ 3.6 ล้านตัน โดยกำหนดให้ส่งมอบภายในสิ้นปี 2567 ซึ่งปัจจุบันอินโดนีเซียมีการนำเข้าข้าวแล้ว 2.4 ล้านตัน ส่วนข้าวที่เหลืออีกประมาณ 1.2 ล้านตัน คาดว่าจะมาถึงก่อนเดือนธันวาคม 2567
ที่มา สำนักข่าวซินหัว , สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
4) ไนจีเรีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงอาบูจา รายงานว่า จากการประกาศใช้มาตรการยกเว้นอากรศุลกากร (อัตราภาษีร้อยละศูนย์) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและความมั่นคงด้านอาหารไนจีเรีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลกลางสั่งการให้กรมศุลกากรไนจีเรียยกเว้นอากรศุลกากรเป็นระยะเวลา 150 วัน เพื่อการนําเข้าข้าวโพด ข้าวกล้อง และข้าวสาลี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อด้านอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วประเทศ แต่ยังคงมีความล่าช้าในทางปฏิบัติและในการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ในการนี้ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 หน่วยงานความมั่นคงที่จัดโดยสำนักงานที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ และโฆษกของกรมศุลกากรไนจีเรีย จึงได้แถลงถึงสาเหตุที่ยังไม่มีการนำคำสั่งดังกล่าวไปปฏิบัติ ว่า เนื่องจากยังไม่ได้รับรายชื่อบริษัทผู้นำเข้าอาหารหรือผู้รับประโยชน์จากการยกเว้นอากรจากกระทรวงการคลัง แต่เมื่อไรก็ตามที่กรมศุลกากรได้รับรายชื่อแล้วจะปฏิบัติตามคำสั่งทันที
อย่างไรก็ตาม นโยบายระบุเกณฑ์คุณสมบัติอย่างชัดเจนว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษีต้องเป็นผู้สีข้าว ผู้เสียภาษี และดำเนินกิจการมาเป็นเวลาหลายปี จึงจะได้โควตาที่ออกโดยกระทรวงการคลังของรัฐบาลกลาง ดังนั้น รายชื่อผู้ได้รับประโยชน์จากการยกเว้นดังกล่าวจะมาจากกระทรวงการคลัง และบทบาทของกรมศุลกากรไนจีเรียในฐานะหน่วยงานของรัฐบาล คือ การปฏิบัติตามคำสั่งและตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบาย
ที่มา สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงอาบูจา , สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 2.212 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.017 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนตุลาคม 2567 อีก 0.003 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,472 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,378 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,743 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,690 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.49
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 36,850 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 36,370 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.32
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 17,790 บาท ราคาลดลงจากตันละ 18,610 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.41
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,052 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,507 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,034 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,899 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.74 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 608 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 578 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19,508 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.34 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 676 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 581 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19,610 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 598 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,184 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.84 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 574 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4224 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) ไทย
ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวที่สำคัญของโลก โดยปี 2565/66 ไทยมีผลผลิตข้าวสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.1 ของผลผลิตข้าวทั่วโลก รองจากจีน อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และเวียดนาม นับตั้งแต่สงครามความขัดแย้งที่เริ่มต้นปี 2565 ส่งผลให้ราคาธัญพืชในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ข้าวสาลี ฯลฯ ทำให้หลายประเทศทั่วโลกหันมาซื้อข้าวเป็นสินค้าทดแทน รวมถึงผู้นำเข้าบางรายต้องนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวในประเทศไปปลูกข้าวโพดและข้าวสาลีแทน ส่งผลให้ไทยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 ไทยมีปริมาณส่งออกข้าว 8.8 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นมูลค่า 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 170.45 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4
ในปี 2567 ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดส่งออกโดยรวมยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากอินเดียซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งสำคัญยังคงมาตรการระงับการส่งออกข้าวขาว ทำให้ประเทศคู่ค้าหันมานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการสำรองข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารที่ยังคงมีอยู่ ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงจากภาวะเอลนีโญ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี (เดือนมกราคม – มิถุนายน) ไทยส่งออกข้าว 5.1 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 110.29 พันล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 โดยมีตลาดส่งออกข้าวหลัก คือ อินโดนีเซีย มีสัดส่วนร้อยละ 20.5 รองลงมา ได้แก่ อิรัก ร้อยละ 9.9 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 7.9 แอฟริกาใต้ ร้อยละ 7.2 และฟิลิปปินส์ ร้อยละ 5.7 เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวขาว ปลายข้าว ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว ซึ่งไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และคาดว่าการส่งออกทั้งปี 2567 จะมีประมาณ 8.8 – 9 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 - 2.5 อย่างไรก็ตาม การส่งออกข้าวในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีแนวโน้มปรับลดลงอยู่ที่ประมาณ 7.8 – 8 ล้านตันข้าวสาร เนื่องจากประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะอินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน มีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคาหลังจากปัญหาด้านอุปทานเริ่มคลี่คลายลง
ที่มา วิจัยกรุงศรี , ไทยรัฐออนไลน์
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4224 บาท
2) เมียนมา
สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation: MRF) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567/68 (เดือนเมษายน – สิงหาคม) เมียนมาส่งออกข้าวสารและปลายข้าวปริมาณ 0.72 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 353 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 11,798.11 ล้านบาท) โดยในเดือนสิงหาคมส่งออก 0.21 ล้านตัน มูลค่า 97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,241.97 ล้านบาท) เป็นการส่งออกทั้งทางทะเลและทางบกไปยัง 30 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซีย จีน ฟิลิปปินส์ เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม สำหรับปีงบประมาณ 2566/67 ส่งออกข้าวได้มากกว่า 1.6 ล้านตัน มูลค่า 845 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 28,241.93 ล้านบาท)
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4224 บาท
3) อินโดนีเซีย
สำนักงานอาหารแห่งชาติอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียตั้งเป้าสำรองข้าวปริมาณ 2 ล้านตัน ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2567 เพื่อเตรียมรับมือกับความต้องการข้าวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเลือกตั้งระดับภูมิภาคที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ประกอบกับการผลิตภายในประเทศที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงปลายปี 2567 – ต้นปี 2568 โดยปัจจุบัน (ณ วันที่ 2 กันยายน 2567) อินโดนีเซียมีปริมาณข้าวสำรองอยู่ที่ประมาณ 1.39 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวสารที่อยู่ในสต็อกแล้วปริมาณ 1.31 ล้านต้น และเป็นข้าวสารที่อยู่ระหว่างการนำเข้าปริมาณ 0.08 ล้านต้น
ในขณะที่ นาย Bayu Krisnamurthi กรรมการผู้จัดการของหน่วยงานด้านโลจิสติกส์แห่งชาติอินโดนีเซีย (President Director of Perum Bulog) ได้ประกาศแผนการนำเข้าข้าวในปี 2567 ประมาณ 3.6 ล้านตัน โดยกำหนดให้ส่งมอบภายในสิ้นปี 2567 ซึ่งปัจจุบันอินโดนีเซียมีการนำเข้าข้าวแล้ว 2.4 ล้านตัน ส่วนข้าวที่เหลืออีกประมาณ 1.2 ล้านตัน คาดว่าจะมาถึงก่อนเดือนธันวาคม 2567
ที่มา สำนักข่าวซินหัว , สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
4) ไนจีเรีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงอาบูจา รายงานว่า จากการประกาศใช้มาตรการยกเว้นอากรศุลกากร (อัตราภาษีร้อยละศูนย์) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและความมั่นคงด้านอาหารไนจีเรีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลกลางสั่งการให้กรมศุลกากรไนจีเรียยกเว้นอากรศุลกากรเป็นระยะเวลา 150 วัน เพื่อการนําเข้าข้าวโพด ข้าวกล้อง และข้าวสาลี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อด้านอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วประเทศ แต่ยังคงมีความล่าช้าในทางปฏิบัติและในการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ในการนี้ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 หน่วยงานความมั่นคงที่จัดโดยสำนักงานที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ และโฆษกของกรมศุลกากรไนจีเรีย จึงได้แถลงถึงสาเหตุที่ยังไม่มีการนำคำสั่งดังกล่าวไปปฏิบัติ ว่า เนื่องจากยังไม่ได้รับรายชื่อบริษัทผู้นำเข้าอาหารหรือผู้รับประโยชน์จากการยกเว้นอากรจากกระทรวงการคลัง แต่เมื่อไรก็ตามที่กรมศุลกากรได้รับรายชื่อแล้วจะปฏิบัติตามคำสั่งทันที
อย่างไรก็ตาม นโยบายระบุเกณฑ์คุณสมบัติอย่างชัดเจนว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษีต้องเป็นผู้สีข้าว ผู้เสียภาษี และดำเนินกิจการมาเป็นเวลาหลายปี จึงจะได้โควตาที่ออกโดยกระทรวงการคลังของรัฐบาลกลาง ดังนั้น รายชื่อผู้ได้รับประโยชน์จากการยกเว้นดังกล่าวจะมาจากกระทรวงการคลัง และบทบาทของกรมศุลกากรไนจีเรียในฐานะหน่วยงานของรัฐบาล คือ การปฏิบัติตามคำสั่งและตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบาย
ที่มา สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงอาบูจา , สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.01 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.67 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.39 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.58 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.51
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.84 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 11.86 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.60
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 331.00 ดอลลาร์สหรัฐ (11,063.00 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 356.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,022.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.02 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 959.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 407.00 เซนต์ (5,422.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 410.00 เซนต์ (5,511.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.73 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 89.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.682 ล้านไร่ ผลผลิต 26.883 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,096 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.268 ล้านไร่ ผลผลิต 30.617 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,303 กิโลกรัม พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 6.32 ร้อยละ 12.20 และร้อยละ 6.27 ตามลำดับ
โดยเดือน กันยายน 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.62 ล้านตัน (ร้อยละ 2.30 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 15.72 ล้านตัน (ร้อยละ 58.46 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อย หัวมันสำปะหลังมีคุณภาพเพิ่มขึ้นเนื่องจากเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งสูง สำหรับโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.03 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนกิโลกรัมละ 2.03 บาท
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.01 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.98 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.50
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.48 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.52 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.53
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขตกรุงเทพ และปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.28 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 17.50 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.26
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 242.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,180 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน ตันละ 242.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,270 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 516.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,420 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจาก ตันละ 522.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,810 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.15
ปาล์มน้ำมัน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกันยายนจะมีประมาณ 1.290 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.232 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.559 ล้านตัน
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.281 ล้านตันของเดือนสิงหาคม คิดเป็นร้อยละ 17.25 และร้อยละ 17.44 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้ เฉลี่ย กก.ละ 6.41 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.30 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.75
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 33.38 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 33.53 บาท ในกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.45
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียปรับตัวลดลง หลังจากข้อมูลสต็อกน้ำมันปาล์ม เดือนสิงหาคมของมาเลเซียปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.34 จากเดือนที่ผ่านมา และปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 9.74
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,985.95 ริงกิตมาเลเซีย (31.38 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 4,005.37 ริงกิตมาเลเซีย (31.80 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.48
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,119.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.87 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,105.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.76 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.27
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- Czarnikow กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2567/2568 ในภาคกลาง – ใต้ของประเทศบราซิล อาจลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 9 เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และปัญหาไฟไหม้ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลของภาคกลาง – ใต้ของบราซิลลดลงเหลือ 39.20 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณดังกล่าวยังคงสูงเป็นอันดับสองในประวัติการณ์ ด้านบริษัทที่ปรึกษา Hedgepoint Global Markets กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตอ้อยของบราซิลในฤดูการผลิตปี 2568/2569 อาจฟื้นตัวเล็กน้อยจากสภาพอากาศที่ดีขึ้น ซึ่งจะชดเชยพื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่ลดลงได้ โดย Hedgepoint Global Markets คาดการณ์ว่า ในปี 2568/2569 ปริมาณผลผลิตอ้อยในภาคกลาง – ใต้ของบราซิลจะอยู่ที่ 620 ล้านตัน และผลผลิตน้ำตาลที่ 42.50 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิตปี 2567/2568 ที่ปริมาณผลผลิตอ้อย 614 ล้านตัน และผลผลิตน้ำตาลที่ 40.28 ล้านตัน
- สมาคมโรงงานน้ำตาลอินเดียตะวันตก (WISMA) รายงานว่า รัฐบาลกลางของประเทศอินเดียได้กล่าว สนับสนุน และเห็นชอบให้ขึ้นราคาน้ำตาล และเอทานอล พร้อมทั้งมีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลได้
ในฤดูการผลิตปี 2567/2568 อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวแย้งว่า การส่งออกน้ำตาลยากที่จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากผลผลิตน้ำตาลของอินเดียคาดว่าจะลดลง 2 ล้านตัน ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วน
เอทานอลในน้ำมัน และรักษาระดับราคาน้ำตาลภายในประเทศไว้ก่อนการเลือกตั้งของรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra)
(ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
- ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- Czarnikow กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2567/2568 ในภาคกลาง – ใต้ของประเทศบราซิล อาจลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 9 เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และปัญหาไฟไหม้ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลของภาคกลาง – ใต้ของบราซิลลดลงเหลือ 39.20 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณดังกล่าวยังคงสูงเป็นอันดับสองในประวัติการณ์ ด้านบริษัทที่ปรึกษา Hedgepoint Global Markets กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตอ้อยของบราซิลในฤดูการผลิตปี 2568/2569 อาจฟื้นตัวเล็กน้อยจากสภาพอากาศที่ดีขึ้น ซึ่งจะชดเชยพื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่ลดลงได้ โดย Hedgepoint Global Markets คาดการณ์ว่า ในปี 2568/2569 ปริมาณผลผลิตอ้อยในภาคกลาง – ใต้ของบราซิลจะอยู่ที่ 620 ล้านตัน และผลผลิตน้ำตาลที่ 42.50 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิตปี 2567/2568 ที่ปริมาณผลผลิตอ้อย 614 ล้านตัน และผลผลิตน้ำตาลที่ 40.28 ล้านตัน
- สมาคมโรงงานน้ำตาลอินเดียตะวันตก (WISMA) รายงานว่า รัฐบาลกลางของประเทศอินเดียได้กล่าว สนับสนุน และเห็นชอบให้ขึ้นราคาน้ำตาล และเอทานอล พร้อมทั้งมีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลได้
ในฤดูการผลิตปี 2567/2568 อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวแย้งว่า การส่งออกน้ำตาลยากที่จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากผลผลิตน้ำตาลของอินเดียคาดว่าจะลดลง 2 ล้านตัน ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วน
เอทานอลในน้ำมัน และรักษาระดับราคาน้ำตาลภายในประเทศไว้ก่อนการเลือกตั้งของรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra)
(ที่มา: บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 17 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 987 เซนต์ (12.27 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,000.10 เซนต์ (12.56 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.31
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 314.72 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.65 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 320.65 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.96 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.85
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 40.86 เซนต์ (30.47 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 41.63 เซนต์ (31.35 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.85
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 17 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 987 เซนต์ (12.27 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,000.10 เซนต์ (12.56 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.31
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 314.72 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.65 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 320.65 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.96 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.85
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 40.86 เซนต์ (30.47 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 41.63 เซนต์ (31.35 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.85
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 30.00 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 16.67
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 51.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1048.80 ดอลลาร์สหรัฐ (35.05 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ1035.80 ดอลลาร์สหรัฐ (34.96 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.26 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.09 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 898.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.01 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 887.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.94 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.24 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.08 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,560.80 ดอลลาร์สหรัฐ (52.17 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,541.80 ดอลลาร์สหรัฐ (52.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.23 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.13 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1168.80 ดอลลาร์สหรัฐ (39.06 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1154.80 ดอลลาร์สหรัฐ (38.98 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.21 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.09 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 922.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.82 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ ละ 911.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.75 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.21 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.07 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.30 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 33.66 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.90
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,975 บาท ลดลดจากกิโลกรัมละ 2,149 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 8.10
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,476 บาท ลดลดจากกิโลกรัมละ 1,611 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 8.38
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 982 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 971 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.12
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 71.27 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.89 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.81 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.13 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 75.58 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 72.50 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายราคาไก่เนื้อลดลงเล็กน้อย เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 40.96 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 41.01 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.12 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.64 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 17.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.70 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 42.70 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.34 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.60 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.54 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 379 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 345 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 365 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 395 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 432 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 422 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 441 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 433 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 393 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 448 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 510 บาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 79.75 บาทสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 79.14 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.77 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.56 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 69.18 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.90 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 104.47 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 56.48 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 57.94 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.52 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 52.58 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 71.27 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.89 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.81 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.13 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 75.58 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 72.50 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายราคาไก่เนื้อลดลงเล็กน้อย เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 40.96 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 41.01 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.12 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.64 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 17.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.70 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 42.70 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.34 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.60 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.54 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 379 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 345 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 365 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 395 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 432 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 422 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 441 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 433 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 393 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 448 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 510 บาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 79.75 บาทสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 79.14 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.77 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.56 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 69.18 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.90 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 104.47 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 56.48 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 57.94 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.52 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 52.58 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 9 – 15 กันยายน 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.66 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 64.45 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.79 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.67 ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 79.40 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.27 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.80 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.46 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 73.55 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.09 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 250.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.07 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละบาท 26.00 ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 9 – 15 กันยายน 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.66 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 64.45 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.79 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.67 ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 79.40 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.27 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.80 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.46 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 73.55 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.09 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 250.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.07 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละบาท 26.00 ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา