สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 15-21 พฤษภาคม 2566

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้
1.1) ด้านการผลิต
(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุม
ค่าเช่าที่นา
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน
(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต
(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)
(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว
(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)
1.2) ด้านการตลาด
(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า
(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ประกอบด้วย
3 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2565/66 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มีนาคม 2566 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ 3
2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,545 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,381 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.22
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,882 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,920 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.39
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,900 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,570 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.12
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 855 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,934 บาท/ตัน) ราคาลดลง
จากตันละ 870 ดอลลาร์สหรัฐฯ (29,169 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.72 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 235 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 515 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,428 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,066 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.18 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 362 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 521 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,631 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 515 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,267 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.17 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 364 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.8415 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า วันพืชมงคลของทุกปี เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ฤดูฝน และการเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปีของเกษตรกรไทย และด้วยราคาข้าวที่สูงขึ้นจูงใจให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงปลูกข้าวนาปี
แม้ต้นทุนการผลิตสูง โดยราคาข้าวในตลาดโลกที่สูงต่อเนื่อง มาจากแรงหนุนในตลาดโลกที่มีความต้องการสูงเพื่อรับมือกับวิกฤตความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ดันราคาธัญพืชโลก มาตรการจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย จากสต็อกข้าวลดลง ประกอบกับสภาพอากาศที่เลวร้ายสร้างความเสียหายต่อผลผลิตข้าวในผู้ผลิตหลัก และผู้บริโภครายใหญ่อย่างจีนที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศ

เมื่อความต้องการข้าวโลกสูง ในขณะที่ไทยมีความพร้อมด้านผลผลิตมากกว่าคู่แข่ง จึงเป็นโอกาสของไทย
ในการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น หนุนราคาส่งออกข้าวไทย และส่งผลมายังราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ให้คงอยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-เม.ย.) ราคาส่งออกข้าวไทยเฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 16.3 และราคาข้าวเปลือก
ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยในประเทศสูงขึ้น ร้อยละ 18.1
“ดังนั้น จึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงปลูกข้าวนาปีและดูแลต้นข้าวเป็นอย่างดี แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น (ราคาปุ๋ยเคมี ยากำจัดแมลงและศัตรูพืช ราคาพลังงาน) และต้องเผชิญกับปริมาณน้ำฝนที่ลดลงในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งจากข้อมูลปริมาณน้ำฝนสะสมเฉลี่ยทั้งประเทศของไทยในช่วงวันที่ 1 มกราคม-
14 พฤษภาคม 2566 พบว่า ปริมาณน้ำฝนสะสมมีน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 ประมาณร้อยละ 57 และยังน้อยกว่าค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 28” บทวิเคราะห์ระบุ
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่ไทยจะเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ผลผลิตข้าวนาปีอาจได้รับความเสียหายมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากช่วงหลังการเพาะปลูกในเดือนพฤษภาคมไปแล้วจะเป็นช่วงที่ต้นข้าวต้องการน้ำมากขึ้น เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตก่อนที่จะพร้อมเก็บเกี่ยว
จึงต้องติดตามปริมาณน้ำฝนและภาวะฝนทิ้งช่วงในช่วงที่เหลือของปี 2566 ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปริมาณฝนรวมของทั้งประเทศในช่วงฤดูฝนปี 2566 จะน้อยกว่าปีก่อน และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2566 หากช่วงแรกของการเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญไม่รุนแรงนัก รวมถึงภาวะฝนทิ้งช่วงกินเวลาไม่นาน คาดว่าผลผลิตข้าวนาปี ปี 2566 อาจลดลงประมาณร้อยละ 4.1-6 หรือคิดเป็นปริมาณ 25.1-25.6 ล้านตัน ซึ่งผลผลิตข้าวนาปีส่วนใหญ่จะเป็นข้าวที่ปลูกนอกเขตชลประทาน
ขณะเดียวกัน เมื่อรวมกับผลผลิตข้าวนาปรังที่ประมาณ 7.6 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.4 จะทำให้ผลผลิตข้าวรวมของไทยปี 2566 อาจอยู่ที่ประมาณ 32.7-33.2 ล้านตัน เฉลี่ยแล้วยังขยายตัวได้เล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3 ซึ่งคาดว่าจะเป็นปริมาณผลผลิตข้าวรวมที่ยังเพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศ และการส่งออกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2565
อย่างไรก็ดี หากเกิดภาวะแล้งจัดหรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ผลผลิตข้าวนาปีเสียหายมากขึ้น และอาจกระทบต่อผลผลิตข้าวรวมทั้งประเทศให้ต่ำกว่ากรอบที่ประเมินไว้
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์เอลนีโญ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนที่สะสมในช่วงปลายปี 2566 ให้ลดลง ซึ่งเป็นน้ำเพื่อใช้สำหรับปลูกข้าวนาปรังในปี 2567 ประกอบกับการคาดการณ์ว่าเอลนีโญน่าจะกินระยะเวลานาน จึงมีความเสี่ยงที่ทั้งผลผลิตข้าวนาปรัง และข้าวนาปีของไทยในปี 2567 จะลดลง
ดังนั้น แนวทางการรับมือและความจำเป็นเร่งด่วน คือ การวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ซึ่งทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐต้องเตรียมตัวรับมือกับการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจัดหาแหล่งน้ำสำรอง เครื่องมือ-เครื่องจักร ในการสนับสนุนน้ำเพื่อการเพาะปลูก เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถบรรทุกน้ำ เป็นต้น
ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายต่อผลผลิตสินค้าเกษตร และยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารของไทยในระยะข้างหน้า
ขณะที่เกษตรกรอาจมีการปรับตัวเพื่อลดต้นทุนการผลิต ด้วยการหันไปใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมีมากขึ้น หรือพิจารณาปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรบางส่วนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เช่น มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ
ที่มีแนวโน้มราคาสูงตามตลาดโลก โดยอาจเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อให้เกษตรกรสามารถมีรายได้ทดแทน ท่ามกลางความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรที่มีมากขึ้นในระยะข้างหน้า
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์
 
ญี่ปุ่น
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในปีงบประมาณ 2565 (เมษายน 2565-มีนาคม 2566) กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมงของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries; MAFF) มีการประมูลนําเข้าข้าวในระบบการนําเข้าขั้นต่ำ (the Minimum Access import system) ปริมาณรวม 677,714 ตัน แบ่งเป็น การประมูลทั่วไป (ordinary market access tenders or MA) จำนวนรวม 663,972 ตัน และการประมูลในระบบ SBS (the simultaneous buy and sell tenders) จำนวนรวม 13,742 ตัน
ทั้งนี้ ในทุกๆ ปี กระทรวงเกษตรฯ (MAFF) จะนําเข้าข้าวสารประมาณ 682,000 ตัน ตามข้อกําหนดในระบบโควตาภาษีขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization tariff rate quota (TRQ)) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโควตาข้าวขั้นต่ำ (the Minimum Access (MA)) ซึ่งจะมีการนําเข้าข้าวผ่านการประกวดราคา 2 ประเภท โดยกระทรวงเกษตรฯ จะจัดสรรโควตาจำนวน 100,000 ตัน เพื่อนําเข้าข้าวผ่านการประมูลแบบซื้อขายพร้อมกัน (Simultaneous Buy-Sell tenders; SBS) และกระทรวงเกษตรฯ จะนําปริมาณโควตาที่เหลือ ซึ่งรวมถึงปริมาณที่ไม่ได้ใช้จากการประมูลแบบ SBS มาประมูลผ่านการประมูลแบบทั่วไป (Ordinary Market Access (OMA))
โดยกระทรวงเกษตรฯ จะขายข้าวที่นําเข้าผ่านการประมูลแบบ OMA ให้กับผู้ซื้อ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ข้าวสําหรับผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปหรือเป็นอาหารสัตว์ และกระทรวงเกษตรฯ ยังส่งออกข้าวบางส่วนที่ประมูลผ่านระบบ OMA เพื่อช่วยเหลือด้านอาหารด้วย
ในปีงบประมาณของญี่ปุ่น (JFY) 2022 กระทรวงเกษตรฯ สามารถประมูลข้าวผ่านระบบ SBS ได้จํานวน 13,742 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณต่ำที่สุดเป็นอันดับสาม นับตั้งแต่ญี่ปุ่นเปิดตัวระบบนําเข้าแบบ MA ในปีงบประมาณ 2538 ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้จัดสรรโควตาส่วนที่เหลืออีก 86,258 ตัน ไปประมูลในแบบ OMA
ทั้งนี้ จากการประมูลในระบบ SBS ปีงบประมาณ 2565 ญี่ปุ่นประมูลข้าวจากสหรัฐรวม 2,378 ตัน โดยเป็นข้าวเต็มเมล็ดจํานวน 1,208 ตัน และข้าวหัก 1,170 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2538
ในขณะที่การประมูลแบบทั่วไป (Ordinary Market Access (OMA)) ในปีงบประมาณ 2565 ญี่ปุ่นประมูลได้ทั้งหมด 663,972 ตัน โดยเป็นข้าวเมล็ดขนาดกลางของสหรัฐฯ จํานวน 208,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 31 ของข้าวที่ประมูลแบบ OMA ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นปริมาณต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2539 เช่นกัน
ในปีงบประมาณของญี่ปุ่น (JFY) 2022 กระทรวงเกษตรฯ ประมูลข้าวทั้งสองระบบจํานวนรวม 677,714 ตัน โดยซื้อจากไทย จํานวน 353,943 ตัน (ร้อยละ 52.2 ของปริมาณที่ประมูลได้ทั้งหมด) สหรัฐฯ จํานวน 210,378 ตัน (ร้อยละ 31) จีน จํานวน 72,200 ตัน (ร้อยละ 10.7) ออสเตรเลีย จํานวน 36,000 ตัน (ร้อยละ 5.3) และประเทศอื่นๆ 9,193 ตัน
ทั้งนี้ การประมูลผ่านระบบ SBS สามารถประมูลได้จํานวน 13,742 ตัน โดยซื้อจากไทยจํานวน 5,971 ตัน สหรัฐฯ 2,378 ตัน จีน 200 ตัน ส่วนที่เหลือเป็นของประเทศอื่นๆ ในขณะที่การประมูลผ่านระบบ OMA สามารถ ประมูลได้จํานวน 663,972 ตัน โดยซื้อจากไทย จํานวน 347,972 ตัน สหรัฐฯ 208,000 ตัน จีน 72,000 ตันออสเตรเลีย 36,000 ตัน ส่วนที่เหลือเป็นของประเทศอื่นๆ
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 
อินเดีย
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ในระดับทรงตัวหลังจากที่ราคาปรับลดลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ท่ามกลางภาวะความต้องการข้าวจากต่างประเทศลดน้อยลง เพราะผู้ซื้อมองว่าราคาข้าวมีแนวโน้มอ่อนตัวลง จึงชะลอการสั่งซื้อในช่วงนี้ ขณะที่ผลผลิตข้าวที่เพาะปลูกในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูการผลิตรอง ออกสู่ตลาดช้ากว่ากำหนดหลังจากฝนตก
ในพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ตันละ 376-380 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565
สํานักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างกรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย (the India Meteorological Department; IMD) คาดว่าจะเกิดฝนตกจากอิทธิพลของลมมรสุมที่จะมาถึงในช่วงปลายปีนี้ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย คาดการณ์ว่า
ฝนจากลมมรสุมจะพัดเข้าชายฝั่งที่รัฐ Kerala (รัฐเกรละ เป็นรัฐที่อยู่ใต้สุดของประเทศอินเดียฝั่งตะวันตก) ในวันที่
4 มิถุนายน 2566 แทนที่จะเป็นวันที่ 1 มิถุนายนตามปกติ ซึ่งฤดูมรสุมมีระยะเวลาประมาณ 4 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายนของทุกปี
ขณะเดียวกัน แนวโน้มการเกิดปรากฏการณ์สภาพอากาศเอลนีโญ (the El Nino weather phenomenon) สร้างความกังวลเกี่ยวกับภาวะฝนจากลมมรสุมในปี 2566 ด้วย
ทั้งนี้ ฝนจากลมมรสุมมีความสําคัญต่อการเกษตรของอินเดีย ซึ่งภาวะที่ฝนตกชุกจะส่งผลดีต่อการเพาะปลูกพืช เช่น ข้าว ถั่วเหลือง และฝ้าย โดยเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่การเกษตรของอินเดียไม่ครอบคลุมโดยการชลประทาน จำเป็นต้องอาศัยน้ำฝนจากลมมรสุมเพื่อปลูกพืชผลจำนวนมาก
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 
ไอวอรี่โคสต์
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในปีการตลาด 2566/67 (ตุลาคม 2566-กันยายน 2567)
ไอวอรี่โคสต์ (โกตดิวัวร์) จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 1.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.112 ล้านตัน ในปีการตลาด 2565/66 โดยคาดการณ์พื้นที่ทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวในปี 2566/67 อยู่ที่ประมาณ 4.56 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 4.437 ล้านไร่ ในปี 2565/66
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการผลิต
ในปี 2566/67 ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในไอวอรี่โคสต์ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาในการบรรลุเป้าหมายการผลิต เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ใช้เมล็ดพันธุ์เก่าคุณภาพต่ำผสมผสานกับการใช้ปุ๋ยที่ไม่สอดคล้องกัน ขณะที่รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายที่จะผลิตข้าวให้ได้ 2 ล้านตัน ภายในปี 2568
สำหรับผลผลิตข้าวสารในปี 2565/66 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปี 2564/65 โดยในปีการตลาดปัจจุบัน ผลผลิตเฉลี่ยต่อพื้นที่ในเขตพื้นที่ลุ่มมีปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะรัฐบาลได้ริเริ่มที่จะฟื้นฟูพื้นที่ลุ่มผ่านโครงการพัฒนา นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มให้เกษตรกรสามารถซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และยาฆ่าแมลงได้ในราคาต่ำกว่าราคาจริงประมาณ 2.6 เท่า
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดการณ์การบริโภคข้าวในปี 2566/67 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.65 ล้านตัน จากประมาณ 2.6 ล้านตัน ในปี 2564/65 ซึ่งการเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของประชากรต่อปี ที่อัตราร้อยละ 2.5 และข้าวเป็นธัญพืชที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในประเทศ
สำหรับการนําเข้าข้าวในปี 2566/67 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับ
ปีที่ผ่านมา ซึ่งอัตราการนําเข้าชะลอตัวลงอย่างมากในปีปัจจุบัน แม้ว่าจะมีความท้าทายด้านการผลิตในประเทศก็ตาม แต่การนําเข้าที่ลดลงเป็นผลมาจากวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศยูเครน และค่าขนส่งที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับมาตรการห้ามส่งออกข้าวที่บังคับใช้โดยบางประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย
การนําเข้าในปี 2565/66 ที่คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากอินเดียมีมาตรการทางภาษีสําหรับ
การส่งออกข้าวบางชนิด (เช่น ข้าวขาว) ในอัตราร้อยละ 20 และการห้ามส่งออกข้าวหัก เนื่องจากประเทศไอวอรี่โคสต์ จําเป็นต้องพึ่งพาการนําเข้าข้าวจากอินเดียอย่างมาก แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามเพิ่มการผลิตในประเทศอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ในส่วนของสต็อกข้าวสิ้นปีนั้น ในปี 2566/67 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 190,000 ตัน ลดลงจากประมาณ 275,000 ตัน ในปี 2565/66 โดยประมาณการว่าระดับสต็อกจะเพียงพอที่จะรองรับการหยุดชะงักของอุปทานได้
ในระยะสั้น
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
 
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.57 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 10.61 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.38 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.57 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.58 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.90 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.89 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 386.00 ดอลลาร์สหรัฐ (13,063.00 บาท/ตัน)  สูงขึ้นจากตันละ 383.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,834.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.78 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 229.00 บาท
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดคะเนความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลก ปี 2566/67 มีปริมาณ 1,204.14 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,160.94 ล้านตัน ในปี 2565/66 ร้อยละ 3.72 โดย สหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป เม็กซิโก อินเดีย อียิปต์ ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอาร์เจนตินา มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าของโลกมี 190.87 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 178.86 ล้านตัน ในปี 2565/66 ร้อยละ 6.71 โดย บราซิล สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา ยุโรป รัสเซีย เซอร์เบีย และเมียนมาร์ ส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้า เช่น จีน สหภาพยุโรป เวียดนาม เม็กซิโก ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้ อิหร่าน อียิปต์ โคลัมเบีย แอลจีเรีย และซาอุดิอาระเบียมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2566 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 569.00 เซนต์ (7,675.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 642.00 เซนต์ (8,579.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 11.37 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 904.00 บาท




 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2566 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.733 ล้านไร่ ผลผลิต 32.730 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.363 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.921 ล้านไร่ ผลผลิต 34.068 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.434 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 1.89 ร้อยละ 3.93 และร้อยละ 2.07 ตามลำดับ โดยเดือนพฤษภาคม 2566 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.400 ล้านตัน (ร้อยละ 4.28 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2566 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ปริมาณ 19.317 ล้านตัน (รอยละ 59.02 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยวแต่พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่มีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลัง และเชื้อแป้งมีคุณภาพลดลง สำหรับโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่ยังเปิดดำเนินการตามปกติ และมีเชื้อแป้งมันสำปะหลังเฉลี่ย 18-23%
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.12 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 3.19 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.19
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.48 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.01
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.42 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 8.54 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.41
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.35 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.30 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.27
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,170 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (9,130 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 559 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,970 บาทต่อตัน)  ราคาสูงขึ้นจากตันละ 555 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,770 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.72


 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2566 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤษภาคมจะมีประมาณ 1.704 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.307 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.621  ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.292 ล้านตันของเดือนเมษายน 2566 คิดเป็นร้อยละ 5.12 และร้อยละ 5.14 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.42 บาท ลดลงจาก กก.ละ 5.64 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.90  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 30.94 บาท ลดลงจาก กก.ละ 33.23 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.89 
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายน้ำมันปาล์มล่วงหน้าตลาดมาเลเซียปรับตัวสูงขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. 2566 เนื่องจากแรงซื้อจากจีนที่เพิ่มขึ้น โดยราคาอ้างอิงน้ำมันปาล์ม ส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.59 อยู่ที่ตันละ 3,480 ริงกิต อัตราแลกเปลี่ยนมาเลเซียที่อ่อนค่าลงยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันปาล์ม แต่มาเลเซียมีการปรับราคาน้ำมันปาล์มอ้างอิงเพื่อการส่งออกสูงขึ้น (อัตราภาษีส่งออกยังคงที่ที่ร้อยละ 8) ในเดือนมิถุนายน ทำให้ภาษีส่งออกสูงขึ้น ทำให้มาเลเซียเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอย่างอินโดนีเซีย
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,733.91 ริงกิตมาเลเซีย (28.59 บาท/กก.) ลดลงจากตัน 3,994.82 ริงกิตมาเลเซีย (30.75 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.53
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 939.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32.17 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 981.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33.30 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.28
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล
  1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ
          ไม่มีรายงาน
  1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
          - Williams Brasil รายงานว่า ณ วันที่ 10 พฤษภาคม น้ำตาลจำนวน 3.6 ล้านตัน รอการดำเนินการนำน้ำตาลลงเรือที่ท่าเรือของประเทศบราซิล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 3.43 ล้านตัน ในสัปดาห์ที่แล้วด้าน UNICA รายงานว่า การส่งออกในเดือนเมษายนของโรงงานในภาคกลาง – ใต้ของบราซิลนั้นขายไฮดรัสได้อยู่ที่ 91 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 144 % และขายแอนไฮดรัสได้อยู่ที่ 36 ล้านลิตร ลดลง 48 %
          - ข้อมูลล่าสุดของเดือนพฤษภาคม ด้านกระทรวงเกษตรของประเทศจีนได้ปรับลดปริมาณผลผลิตน้ำตาลของจีนลงเหลือ 8.96 ล้านตัน สำหรับฤดูการหีบปี 2565/2566 ซึ่งสิ้นสุดลงแล้ว ด้านโรงงานน้ำตาลในมณฑล
ยูนนาน (Yunnan) ปิดดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม โดยกระทรวงเกษตรของจีนคาดว่า ผลผลิตน้ำตาลของจีนจะฟื้นตัวเป็น 10 ล้านตัน ในปี 2566/2567 เนื่องจากน่าจะมีปริมาณน้ำตาลต่อตันอ้อย และบีทที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าพื้นที่บีทจะลดลง และพื้นที่อ้อยจะคงที่ก็ตาม ในขณะที่การบริโภคน้ำตาลของจีนน่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 15.7 ล้านตัน




 

 
ถั่วเหลือง

. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 21.50 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 23.50 บาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,342.8 เซนต์ (16.87 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,400.6 เซนต์ (17.39 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.12
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 421.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14.40 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 430.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14.77 บาท/กก.)ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.23
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 47.63 เซนต์ (37.53 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 49.69 เซนต์ (35.89 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.14


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 25.00 บาท จากสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 14.00
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 39.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,037.00 ดอลลาร์สหรัฐ (35.09 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,046.20 ดอลลาร์สหรัฐ (35.08 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.88 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 888.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.05 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 895.60 ดอลลาร์สหรัฐ (30.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,305.25 ดอลลาร์สหรัฐ (44.17 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,316.80 ดอลลาร์สหรัฐ (44.15 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.88 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 888.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.05 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 895.60 ดอลลาร์สหรัฐ (30.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,180.25 ดอลลาร์สหรัฐ (39.94 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,190.60 ดอลลาร์สหรัฐ (39.92 บาท/กก.)  ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.76 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 46.71 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.03
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.18 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 28.40 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 16.83 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ฝ้าย

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,967 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,926 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.13 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,368 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1, 341  บาทคิดเป็นร้อยละ 2.01 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 942 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีน้อยกว่าผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  80.37 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 83.43 คิดเป็นร้อยละ 3.06 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 88.70 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 83.75 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 77.22 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 78.45 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 1,800 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 45.24 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 45.13 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.24 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 45.85 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 14.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.90 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 44.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 43.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.49 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 59.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.71 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีมากกว่าผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 350 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 344 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.74 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 342 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 334 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 358 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 4.12 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 3.92 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.10 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 389 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 388 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.26 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 403 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 400 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 356 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 436 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 4.35 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 4.27 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.87 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 93.91 บาท  สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 93.72 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.20 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 100.48 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 92.78 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 79.74 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 108.64 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 76.16 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 76.60 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.57 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.33 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.28 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
 
 

 
 

 
ประมง
 
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 15 – 21 พฤษภาคม 2566) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ  
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 61.11 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 62.44 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.33 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.66 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 80.01 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.65 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 127.06 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 125.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.89 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 248.57 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 250.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.43 บาท
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา