- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 5-11 กุมภาพันธ์ 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลง จากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.189 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 0.495 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 7.80 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
(มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก
ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่
28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,128 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,190 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,503 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,617 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.98
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 20,650 บาท ราคาลดลงจากตันละ 21,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.18
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,232 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 883 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,070 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 162 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 639 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,653 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตัน 655 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,047 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.44 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 394 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 636 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,546 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 649 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,836 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.00 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 290 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.4502 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 ไทย
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงข้อมูลใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 มกราคม 2567 มีการขออนุญาตส่งออกข้าวปริมาณ 1,122,358 ตัน เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 779,654 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.96 จากช่วงเดียวกันของปี 2566
กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์การส่งออกข้าวปี 2567 มีปริมาณ 7.5 ล้านตัน ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกข้าวไทย ประกอบด้วย ผลผลิตข้าวที่คาดว่าจะลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 5.87 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ และการส่งออกอาจจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ปริมาณผลผลิตข้าวโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ทำให้ปริมาณอุปทานข้าวโลกเพิ่มขึ้น การนำเข้าข้าวของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความนิยมบริโภคข้าวในประเทศลดลง เช่น จีน และญี่ปุ่น ทำให้การแข่งขันทางด้านราคารุนแรงขึ้น ขณะที่ไทยมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูงทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศผู้ผลิตและประเทศผู้ส่งออกรายอื่น เช่น จีน เวียดนาม และอินเดีย นอกจากนี้ อินโดนีเซียอาจจะนำเข้าข้าวน้อยกว่าปี 2566 เนื่องจากมีข้าวคงเหลือในสต็อกค่อนข้างมาก ส่วนจีนมีการผลิตข้าวเพิ่มขึ้น และเริ่มปรับเปลี่ยนจากการเป็นประเทศผู้นำเข้ามาเป็นผู้ผลิตข้าวได้เพียงพอต่อการบริโภคของประชากรในประเทศและในอนาคตอาจเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ รวมทั้งอินเดียอาจยกเลิกประกาศระงับการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนของอินเดียกลับมาส่งออกข้าวได้ตามปกติ สำหรับแนวทางการรับมือกับความท้าทายในการขายข้าวให้ประเทศคู่ค้าในประเด็นที่ราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาข้าวของประเทศผู้ส่งออกรายอื่นอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงนั้น ทำให้ไทยต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลก โดยพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตต่อไร่สูง และผลผลิตข้าวต่อไร่ไม่ควรน้อยกว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่น ซึ่งปัจจุบันมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยทั้งสิ้น ประกอบกับพันธุ์ข้าวต้องมีความต้านทานโรคและแมลง เพื่อลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการค้าต่างประเทศมีกำหนดการเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและขยายตลาดข้าวในต่างประเทศ ได้แก่ แอฟริกาใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดข้าวที่สำคัญอันดับต้นๆ ของไทย รวมทั้งมีการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลอินโดนีเซีย จีน และประเทศอื่นที่มีความประสงค์ขอซื้อข้าวในรูปแบบ G to G ตลอดจนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญ และ จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ข้าวไทย (Thai Rice Roadshow) ในตลาดจีนด้วย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
2.2 มาเลเซีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ รายงานว่า รัฐบาลมาเลเซียกำลังเร่งดำเนินการขยายพื้นที่ทำการเกษตรแบบ Smart Farming ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการการปลูกข้าวอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคของประชากรในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่เน้นการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเสริมศักยภาพในการทำการเกษตร เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงทางอาหาร และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในประเทศ ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 10,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวประมาณ 165,500 ไร่
รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร กล่าวว่า โมเดลการทำการเกษตรแบบ Smart Farming ในรัฐเปอร์ลิส รัฐซาบาห์ และรัฐซาราวัก ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการเกษตรของมาเลเซีย จะขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่นๆ ด้วย เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตข้าวจาก 1.12 ตันต่อไร่ เป็น 1.67 ตันต่อไร่ ขณะที่ปัจจุบันการผลิตข้าวในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวัก ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคของประชากร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซีย มีความมั่นใจว่าในระยะยาวทั้งสองรัฐจะสามารถผลิตข้าวได้เพียงพอต่อความต้องการในพื้นที่ และสามารถส่งออกข้าวไปยังรัฐอื่นๆ รวมทั้งส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงได้อีกด้วย
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลง จากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.189 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 0.495 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 7.80 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
(มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก
ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่
28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,128 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,190 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,503 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,617 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.98
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 20,650 บาท ราคาลดลงจากตันละ 21,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.18
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,232 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 883 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,070 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 162 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 639 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,653 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตัน 655 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,047 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.44 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 394 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 636 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,546 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 649 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,836 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.00 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 290 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.4502 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 ไทย
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงข้อมูลใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 มกราคม 2567 มีการขออนุญาตส่งออกข้าวปริมาณ 1,122,358 ตัน เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 779,654 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.96 จากช่วงเดียวกันของปี 2566
กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์การส่งออกข้าวปี 2567 มีปริมาณ 7.5 ล้านตัน ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกข้าวไทย ประกอบด้วย ผลผลิตข้าวที่คาดว่าจะลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 5.87 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ และการส่งออกอาจจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ปริมาณผลผลิตข้าวโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ทำให้ปริมาณอุปทานข้าวโลกเพิ่มขึ้น การนำเข้าข้าวของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความนิยมบริโภคข้าวในประเทศลดลง เช่น จีน และญี่ปุ่น ทำให้การแข่งขันทางด้านราคารุนแรงขึ้น ขณะที่ไทยมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูงทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศผู้ผลิตและประเทศผู้ส่งออกรายอื่น เช่น จีน เวียดนาม และอินเดีย นอกจากนี้ อินโดนีเซียอาจจะนำเข้าข้าวน้อยกว่าปี 2566 เนื่องจากมีข้าวคงเหลือในสต็อกค่อนข้างมาก ส่วนจีนมีการผลิตข้าวเพิ่มขึ้น และเริ่มปรับเปลี่ยนจากการเป็นประเทศผู้นำเข้ามาเป็นผู้ผลิตข้าวได้เพียงพอต่อการบริโภคของประชากรในประเทศและในอนาคตอาจเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ รวมทั้งอินเดียอาจยกเลิกประกาศระงับการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนของอินเดียกลับมาส่งออกข้าวได้ตามปกติ สำหรับแนวทางการรับมือกับความท้าทายในการขายข้าวให้ประเทศคู่ค้าในประเด็นที่ราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาข้าวของประเทศผู้ส่งออกรายอื่นอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงนั้น ทำให้ไทยต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลก โดยพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตต่อไร่สูง และผลผลิตข้าวต่อไร่ไม่ควรน้อยกว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่น ซึ่งปัจจุบันมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยทั้งสิ้น ประกอบกับพันธุ์ข้าวต้องมีความต้านทานโรคและแมลง เพื่อลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการค้าต่างประเทศมีกำหนดการเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและขยายตลาดข้าวในต่างประเทศ ได้แก่ แอฟริกาใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดข้าวที่สำคัญอันดับต้นๆ ของไทย รวมทั้งมีการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลอินโดนีเซีย จีน และประเทศอื่นที่มีความประสงค์ขอซื้อข้าวในรูปแบบ G to G ตลอดจนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญ และ จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ข้าวไทย (Thai Rice Roadshow) ในตลาดจีนด้วย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
2.2 มาเลเซีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ รายงานว่า รัฐบาลมาเลเซียกำลังเร่งดำเนินการขยายพื้นที่ทำการเกษตรแบบ Smart Farming ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการการปลูกข้าวอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคของประชากรในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่เน้นการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเสริมศักยภาพในการทำการเกษตร เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงทางอาหาร และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในประเทศ ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 10,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวประมาณ 165,500 ไร่
รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร กล่าวว่า โมเดลการทำการเกษตรแบบ Smart Farming ในรัฐเปอร์ลิส รัฐซาบาห์ และรัฐซาราวัก ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการเกษตรของมาเลเซีย จะขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่นๆ ด้วย เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตข้าวจาก 1.12 ตันต่อไร่ เป็น 1.67 ตันต่อไร่ ขณะที่ปัจจุบันการผลิตข้าวในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวัก ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคของประชากร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซีย มีความมั่นใจว่าในระยะยาวทั้งสองรัฐจะสามารถผลิตข้าวได้เพียงพอต่อความต้องการในพื้นที่ และสามารถส่งออกข้าวไปยังรัฐอื่นๆ รวมทั้งส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงได้อีกด้วย
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.01 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.88 บาท ของสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 1.46 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.35 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.21 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.37 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 297.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,529.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากตันละ 294.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,359.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.02 และเพิ่มขึ้น ในรูปของเงินบาทตันละ 170.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนมีนาคม 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 440.00 เซนต์ (6,208.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 445.00 เซนต์ (6,240.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.12 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 32.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.049 ล้านไร่ ผลผลิต 27.941 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.088 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีพื้นที่ เก็บเกี่ยว 9.350 ล้านไร่ ผลผลิต 30.732 ล้านตัน
และผลผลิตต่อไร่ 3.287 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 3.22 ร้อยละ 9.08 และร้อยละ 6.05 ตามลำดับ โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 5.518 ล้านตัน (ร้อยละ 19.75 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 16.452 ล้านตัน (ร้อยละ 58.88 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังเริ่มทยอยออกสู่ตลาด แต่ยังมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังสดอยู่ในระดับสูง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.01 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.98 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.01
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.48 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.54 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.80
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.94 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.76
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,900 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,880 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 572.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,380 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (20,330 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกุมภาพันธ์จะมีประมาณ 1.315 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.237 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.063 ล้านตัน
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.191 ล้านตันของเดือนมกราคม คิดเป็นร้อยละ 23.71 และร้อยละ 24.08 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.46 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.01 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 9.15
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 32.15 บาท ลดลงจาก กก.ละ 32.38 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.71
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,879.96 ริงกิตมาเลเซีย (29.50 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 3,858.52 ริงกิตมาเลเซีย (29.52 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.56
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 956.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34.31 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 975.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34.73 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.95
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- นักวิเคราะห์จาก Safras & Mercado รายงานว่า โรงงานน้ำตาล 15 แห่ง ของประเทศบราซิลกำลังวางแผนที่จะเริ่มดำเนินการเปิดหีบปี 2567/2568 ในช่วงครึ่งแรกของเดือนกุมภาพันธ์ 2567 แต่การคาดการณ์สภาพอากาศที่มีฝนอาจทำให้การเปิดหีบล่าช้าออกไป ในขณะเดียวกัน Itau BBA คาดการณ์ว่า โรงงานน้ำตาล ของบราซิลน่าจะเริ่มเปิดหีบในเดือนมีนาคม 2567
- Green Pool คาดการณ์น้ำตาลโลกส่วนขาดอยู่ที่ 788,000 ตัน ในปี 2567/2568 เพิ่มขึ้นจาก 427,000 ตัน ในปี 2566/2567 ในทางกลับกันนักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัย hEDGEpoint Global Markets รายงานว่า ประมาณการผลผลิตน้ำตาลของอินเดียในปี 2566/2567 กำลังเพิ่มสูงขึ้น และเสริมว่า ผลผลิตน้ำตาลของอินเดียที่เพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำตาลทั่วโลกในปี 2566/2567 แต่อาจส่งผลให้สต็อกน้ำตาลคงเหลือสูงขึ้น ทั้งนี้ หากสภาพอากาศดีอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในปี 2567/2568
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,192.28 เซนต์ (15.71 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,205.32 เซนต์ (15.72 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.08
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 353 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.66 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 360.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.81 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.17
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 46.65 เซนต์ (35.88 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 45.58 เซนต์ (35.66 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.35
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,192.28 เซนต์ (15.71 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,205.32 เซนต์ (15.72 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.08
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 353 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.66 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 360.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.81 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.17
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 46.65 เซนต์ (35.88 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 45.58 เซนต์ (35.66 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.35
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 26.60 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 2.26
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 49.20 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 2.44
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 30.80 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 15.58
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 989.40 ดอลลาร์สหรัฐ (35.07 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 996.00 ดอลลาร์สหรัฐ (35.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 761.80 ดอลลาร์สหรัฐ (27.01 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 784.20 ดอลลาร์สหรัฐ (27.60 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.86 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.59 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,387.40 ดอลลาร์สหรัฐ (49.18 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,430.80 ดอลลาร์สหรัฐ (50.35 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.03 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.17 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 932.60 ดอลลาร์สหรัฐ (33.06 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 938.80 ดอลลาร์สหรัฐ (33.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 756.40 ดอลลาร์สหรัฐ (26.81 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 898.60 ดอลลาร์สหรัฐ (31.62 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 15.82 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 4.81 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.67 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 47.50 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 12.27
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.74 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 31.56 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,052 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,451 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,434 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.26 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 975 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.73 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.93 คิดเป็นร้อยละ 0.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.30 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.45 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 68.89 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 67.59 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,700 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 40.21 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 40.19 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.05 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.77 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.42 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 13.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 357 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 334 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 351 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 363 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 372 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 414 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 407 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.72 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 414 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 437 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 380 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 437 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 440 ลดลงจากร้อยฟองละ 447 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.57 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 87.65 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 88.06 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.47 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.98 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 81.12 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 74.12 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 108.64 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 64.63 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 64.44 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 58.47 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.73 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.93 คิดเป็นร้อยละ 0.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.30 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.45 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 68.89 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 67.59 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,700 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 40.21 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 40.19 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.05 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.77 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.42 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 13.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ยังคงชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 357 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 334 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 351 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 363 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 372 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 414 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 407 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.72 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 414 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 437 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 380 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 437 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 440 ลดลงจากร้อยฟองละ 447 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.57 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 87.65 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 88.06 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.47 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.98 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 81.12 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 74.12 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 108.64 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 64.63 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 64.44 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 58.47 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 5 – 11 กุมภาพันธ์ 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 59.69 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 61.88 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.19 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.89 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 82.60 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.29 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.66 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 130.00 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.32 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.65 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.33 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท
ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 5 – 11 กุมภาพันธ์ 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 59.69 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 61.88 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.19 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.89 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 82.60 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.29 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.66 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 130.00 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.32 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.65 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.33 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท
ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา