- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 15-21 มกราคม 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - มกราคม 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 25.350 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.14 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08
ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,990 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,941 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,186 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,185 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 21,750 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 21,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.84
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 880 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,874 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 875 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,376 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 498 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 668 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,436 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตัน 646 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,426 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.41 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,010 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 647 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,699 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 640 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,218 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 481 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.0836 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2566/67 ณ เดือนมกราคม 2567 ผลผลิต 513.543 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 512.960 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2565/66 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.11
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2566/67 ณ เดือนมกราคม 2567 มีปริมาณผลผลิต 513.543 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.11 การใช้ในประเทศ 522.100 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.32 การส่งออก/นำเข้า 52.163 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.43 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 167.249 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 4.87
- ประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปากีสถาน จีน กัมพูชา เมียนมา บราซิล อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย ตุรกี และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อินเดีย ไทย เวียดนาม อุรุกวัย และปารากวัย
- ประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน สหภาพยุโรป อิรัก อิหร่าน บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เม็กซิโก สหราชอาณาจักร เนปาล เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย บราซิล กานา เคนยา และโมซัมบิก
- ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน อินเดีย ไทย ไนจีเรีย และญี่ปุ่น
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรจะไม่กำหนดราคาขายปลีกแนะนํา (Suggested Retail Prices : SRP) สำหรับข้าวและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ แม้ว่าพระราชบัญญัติด้านราคา (the Price Act) จะอนุญาตให้กระทรวงเกษตรสามารถกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้คงที่ในกรณีฉุกเฉินได้ก็ตาม แต่การจํากัดราคามีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ประกอบการจะลดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ประกอบกับมาตรการกำหนดเพดานราคาข้าวที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ประกาศใช้เมื่อเดือนกันยายน 2566 ได้ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนข้าว และความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้นในช่วงนี้จึงไม่ควรควบคุมราคาข้าว
รัฐมนตรีว่าการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับหากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยรัฐบาลเน้นดำเนินมาตรการด้านการนําเข้าข้าว เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคก่อนที่จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งต่อไปที่เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรได้ดำเนินการวางแผนจัดหาปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีเพียงพอสำหรับการผลิตข้าวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กัมพูชา
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในปี 2566 การส่งออกข้าวของกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2565 จึงคาดว่าในปี 2567 การส่งออกข้าวของกัมพูชาจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ และค่าขนส่ง อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวได้
ประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (The Cambodia Rice Federation : CRF) กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นปีที่ดีสำหรับการส่งออกข้าว ทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้นและการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ๆ และได้เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกข้าวเปลือกจำนวนมากไปยังเวียดนามที่มีความต้องการสูง ส่งผลให้ราคาข้าวสารปรับสูงขึ้นตาม จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกษตรกรกัมพูชาสนใจขายข้าวเปลือกให้กับพ่อค้า ขณะที่โรงสีข้าวมีความลังเลที่จะซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสำรองไว้ เนื่องจากมีข้อจํากัดทางการเงินและความไม่แน่นอนของตลาด ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ส่งผลเสียต่อโรงสีข้าว เพราะต้นทุนข้าวเปลือกที่เพิ่มขึ้นได้จํากัดความสามารถของผู้ประกอบการส่งออกข้าวกัมพูชาในการจัดหาและ การจัดเก็บข้าว เนื่องจากแนวโน้มราคายังคงเพิ่มขึ้นทุกปี
ทั้งนี้ การส่งออกข้าวเปลือกเมื่อปี 2566 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโรงสีข้าวในท้องถิ่น ทำให้กระบวนการจัดซื้อและจัดเก็บข้าวเปลือกเพื่อการสีและการส่งออกมีความซับซ้อนด้านการบริหารจัดการยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงบรรลุผลลัพธ์เชิงบวกจากการส่งออกข้าวสารในปี 2566 ซึ่งข้าวสารของกัมพูชาได้รับความสนใจและมีคำสั่งซื้อ เป็นจำนวนมากจากประเทศที่เป็นตลาดใหม่ เช่น ติมอร์-เลสเต มีการนําเข้าประมาณ 4,000 ตัน อินโดนีเซีย มีการนําเข้าประมาณ 15,500 ตัน และฟิลิปปินส์ มีการนําเข้าประมาณ 2,500 ตัน โดยสหพันธ์ข้าวกัมพูชาคาดหวังว่าในปี 2567 การส่งออกข้าวสารไปยังตลาดต่างประเทศจะยังคงดำเนินต่อไป โดยมีปัจจัยหนุนจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวย การตลาดที่ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และราคาข้าวเปลือกที่มีเสถียรภาพเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดต่างประเทศ สำหรับสถานการณ์ด้านราคาข้าว สหพันธ์ข้าวกัมพูชารายงานว่า ราคาข้าวสาร ปี 2566 สูงขึ้นจากปี 2565 โดยข้าวหอมพันธุ์ Malys Angkor ราคาเฉลี่ยตันละ 980 เหรียญสหรัฐฯ (34,382 บาทต่อตัน) สูงขึ้นจากตันละ 790 เหรียญสหรัฐฯ (27,716 บาทต่อตัน) ข้าวหอมพันธุ์ Sen KraOb ซึ่งเป็นข้าวหอมระดับพรีเมียมเช่นกัน ราคาเฉลี่ยตันละ 840 เหรียญสหรัฐฯ (29,470 บาทต่อตัน) สูงขึ้นจากตันละ 760 เหรียญสหรัฐฯ (26,664 บาทต่อตัน) ส่วนข้าวขาว ราคาเฉลี่ยตันละ 780 เหรียญสหรัฐฯ (27,365 บาทต่อตัน) สูงขึ้นจากตันละ 600 เหรียญสหรัฐฯ (21,050 บาทต่อตัน)
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.0836 บาท
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - มกราคม 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 25.350 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.14 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08
ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,990 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,941 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,186 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,185 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 21,750 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 21,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.84
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 880 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,874 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 875 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,376 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 498 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 668 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,436 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตัน 646 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,426 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.41 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,010 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 647 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,699 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 640 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,218 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 481 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.0836 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2566/67 ณ เดือนมกราคม 2567 ผลผลิต 513.543 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 512.960 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2565/66 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.11
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2566/67 ณ เดือนมกราคม 2567 มีปริมาณผลผลิต 513.543 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.11 การใช้ในประเทศ 522.100 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.32 การส่งออก/นำเข้า 52.163 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.43 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 167.249 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 4.87
- ประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปากีสถาน จีน กัมพูชา เมียนมา บราซิล อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย ตุรกี และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อินเดีย ไทย เวียดนาม อุรุกวัย และปารากวัย
- ประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน สหภาพยุโรป อิรัก อิหร่าน บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เม็กซิโก สหราชอาณาจักร เนปาล เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย บราซิล กานา เคนยา และโมซัมบิก
- ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน อินเดีย ไทย ไนจีเรีย และญี่ปุ่น
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรจะไม่กำหนดราคาขายปลีกแนะนํา (Suggested Retail Prices : SRP) สำหรับข้าวและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ แม้ว่าพระราชบัญญัติด้านราคา (the Price Act) จะอนุญาตให้กระทรวงเกษตรสามารถกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้คงที่ในกรณีฉุกเฉินได้ก็ตาม แต่การจํากัดราคามีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ประกอบการจะลดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ประกอบกับมาตรการกำหนดเพดานราคาข้าวที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ประกาศใช้เมื่อเดือนกันยายน 2566 ได้ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนข้าว และความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้นในช่วงนี้จึงไม่ควรควบคุมราคาข้าว
รัฐมนตรีว่าการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับหากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยรัฐบาลเน้นดำเนินมาตรการด้านการนําเข้าข้าว เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคก่อนที่จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งต่อไปที่เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรได้ดำเนินการวางแผนจัดหาปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีเพียงพอสำหรับการผลิตข้าวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กัมพูชา
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในปี 2566 การส่งออกข้าวของกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2565 จึงคาดว่าในปี 2567 การส่งออกข้าวของกัมพูชาจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ และค่าขนส่ง อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวได้
ประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (The Cambodia Rice Federation : CRF) กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นปีที่ดีสำหรับการส่งออกข้าว ทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้นและการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ๆ และได้เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกข้าวเปลือกจำนวนมากไปยังเวียดนามที่มีความต้องการสูง ส่งผลให้ราคาข้าวสารปรับสูงขึ้นตาม จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกษตรกรกัมพูชาสนใจขายข้าวเปลือกให้กับพ่อค้า ขณะที่โรงสีข้าวมีความลังเลที่จะซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสำรองไว้ เนื่องจากมีข้อจํากัดทางการเงินและความไม่แน่นอนของตลาด ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ส่งผลเสียต่อโรงสีข้าว เพราะต้นทุนข้าวเปลือกที่เพิ่มขึ้นได้จํากัดความสามารถของผู้ประกอบการส่งออกข้าวกัมพูชาในการจัดหาและ การจัดเก็บข้าว เนื่องจากแนวโน้มราคายังคงเพิ่มขึ้นทุกปี
ทั้งนี้ การส่งออกข้าวเปลือกเมื่อปี 2566 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโรงสีข้าวในท้องถิ่น ทำให้กระบวนการจัดซื้อและจัดเก็บข้าวเปลือกเพื่อการสีและการส่งออกมีความซับซ้อนด้านการบริหารจัดการยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงบรรลุผลลัพธ์เชิงบวกจากการส่งออกข้าวสารในปี 2566 ซึ่งข้าวสารของกัมพูชาได้รับความสนใจและมีคำสั่งซื้อ เป็นจำนวนมากจากประเทศที่เป็นตลาดใหม่ เช่น ติมอร์-เลสเต มีการนําเข้าประมาณ 4,000 ตัน อินโดนีเซีย มีการนําเข้าประมาณ 15,500 ตัน และฟิลิปปินส์ มีการนําเข้าประมาณ 2,500 ตัน โดยสหพันธ์ข้าวกัมพูชาคาดหวังว่าในปี 2567 การส่งออกข้าวสารไปยังตลาดต่างประเทศจะยังคงดำเนินต่อไป โดยมีปัจจัยหนุนจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวย การตลาดที่ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และราคาข้าวเปลือกที่มีเสถียรภาพเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดต่างประเทศ สำหรับสถานการณ์ด้านราคาข้าว สหพันธ์ข้าวกัมพูชารายงานว่า ราคาข้าวสาร ปี 2566 สูงขึ้นจากปี 2565 โดยข้าวหอมพันธุ์ Malys Angkor ราคาเฉลี่ยตันละ 980 เหรียญสหรัฐฯ (34,382 บาทต่อตัน) สูงขึ้นจากตันละ 790 เหรียญสหรัฐฯ (27,716 บาทต่อตัน) ข้าวหอมพันธุ์ Sen KraOb ซึ่งเป็นข้าวหอมระดับพรีเมียมเช่นกัน ราคาเฉลี่ยตันละ 840 เหรียญสหรัฐฯ (29,470 บาทต่อตัน) สูงขึ้นจากตันละ 760 เหรียญสหรัฐฯ (26,664 บาทต่อตัน) ส่วนข้าวขาว ราคาเฉลี่ยตันละ 780 เหรียญสหรัฐฯ (27,365 บาทต่อตัน) สูงขึ้นจากตันละ 600 เหรียญสหรัฐฯ (21,050 บาทต่อตัน)
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.0836 บาท
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.56 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.10 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.25 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.07
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.21 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 10.41 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.92 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 295.40 ดอลลาร์สหรัฐ (10,363.68 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 304.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,567.40 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.83 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 203.72 บาท
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ295.40
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดคะเนความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลก ปี 2566/67 มีปริมาณ 1.211.07 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,165.59 ล้านตัน ในปี 2565/66 ร้อยละ 3.90 โดย สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป บราซิล เม็กซิโก อินเดีย แคนนาดา อียิปต์ ญี่ปุ่น และอาร์เจนตินา มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าของโลกมี 198.47 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 180.52 ล้านตัน ในปี 2565/66 ร้อยละ 9.94 โดย บราซิล สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา ยูเครน รัสเซีย สหภาพยุโรป ปารากวัย แอฟริกาใต้ อินเดีย และเซอร์เบีย ส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้า เช่น สหภาพยุโรป จีน เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม อิหร่าน อียิปต์ โคลัมเบีย และซาอุดิอาระเบีย มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนมีนาคม 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 443.75 เซนต์ (6,200.89 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 463.95 เซนต์ (6,312.98 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.35 และลดลงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 112.09 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.049 ล้านไร่ ผลผลิต 27.941 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.088 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.350 ล้านไร่ ผลผลิต 30.732 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.287 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 3.22 ร้อยละ 9.08 และร้อยละ 6.05 ตามลำดับ โดยเดือนมกราคม 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 5.289 ล้านตัน (ร้อยละ 18.93 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 16.452 ล้านตัน (ร้อยละ 58.88 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังเริ่มทยอยออกสู่ตลาด แต่ยังมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังสดอยู่ในระดับสูง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.03 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.56 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.58 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.26
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.06 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 8.39 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 3.93
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.08 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 19.19 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.57
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 256.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,020 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 265.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,250 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 3.40
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 574.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,250 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 578.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,180 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.69
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมกราคมจะมีประมาณ 1.063 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.191 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.100 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.198 ล้านตันของเดือนธันวาคม 2566 คิดเป็นร้อยละ 3.63 และร้อยละ 3.54 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.70 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.69 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 33.28 บาท ลดลงจาก กก.ละ 34.03 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.20
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มของมาเลเซียที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาน้ำมันปาล์มอ้างอิง รอบส่งเดือนเมษายน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 1.16 อยู่ที่ตันละ 3,940 ริงกิต
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,864.94 ริงกิตมาเลเซีย (29.48 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 3,726.06 ริงกิตมาเลเซีย (28.45 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.73
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 964.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34.23 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 927.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32.58 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.99
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ปรับเพิ่มการคาดการณ์การผลิตน้ำตาลของสหรัฐฯในปี 2566/2567 จาก 8.40 ล้านตัน เป็น 8.50 ล้านตัน โดยการนำเข้าน้ำตาลภายใต้ภาษีระดับสูงเพิ่มขึ้น 100,000 ตัน เป็น 522,000 ตัน ในขณะที่การส่งออกน้ำตาลซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปยังเม็กซิโกเพิ่มขึ้นจาก 91,000 ตัน เป็น 145,000 ตัน ส่งผลให้อัตราส่วนสต๊อกน้ำตาลต่อการบริโภคต่อหัวอยู่ที่ร้อยละ 13.70 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 12.80
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 16.75 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,214.85 เซนต์ (15.84 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,241.24 เซนต์ (16.19 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.13
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 361.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.84 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 361.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.83 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.08
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 47.37 เซนต์ (37.05 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 47.91 เซนต์ (37.48 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.13
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 16.75 บาท ราคาทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,214.85 เซนต์ (15.84 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,241.24 เซนต์ (16.19 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.13
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 361.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.84 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 361.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.83 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.08
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 47.37 เซนต์ (37.05 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 47.91 เซนต์ (37.48 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.13
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 25.45 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.77
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 999.80 ดอลลาร์สหรัฐ (35.07 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,010.60 ดอลลาร์สหรัฐ (35.09 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.07 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 798.60 ดอลลาร์สหรัฐ (28.01 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 807.20 ดอลลาร์สหรัฐ (28.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.07 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,459.60 ดอลลาร์สหรัฐ (51.20 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,475.40 ดอลลาร์สหรัฐ (51.23 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.07 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 942.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.06 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 952.80 ดอลลาร์สหรัฐ (33.08 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 994.00 ดอลลาร์สหรัฐ (34.87 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,005.00 ดอลลาร์สหรัฐ (34.89 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.33 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 41.67 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.98
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.89 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 30.17 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.93
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,928 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,925 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.16 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,340 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,398 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.15 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 967 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.49 บาทสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 67.11 คิดเป็นร้อยละ 0.57 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.15 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.13 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 69.42 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 68.76 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,700 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 1,600 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.25 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 40.17 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 40.14 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.07 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.62 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.47 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 12.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.75 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 39.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.64 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.75 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 56.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.45 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีน้อยกว่าผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 363 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 364 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 335 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 354 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 372 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 391 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 397 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.51 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 404 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 402 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.50 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 417 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 422 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 373 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 425 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 461 ทรงลดลงจากร้อยฟองละ 465 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.86 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.76 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 89.11 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.39 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.72 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 83.32 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.41 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 108.64 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 65.99 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 66.33 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.51 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 62.10 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
ตารางประมง ราคาเกษตรกรขายได้ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ และราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี