- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 29 มกราคม-4 กุมภาพันธ์ 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลง จากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.189 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
(มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก
ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่
28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,190 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,054 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,617 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,306 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.75
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 21,550 บาท ราคาลดลงจากตันละ 21,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.82
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 883 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,070 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,221 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 151 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 655 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,047 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตัน 669 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,708 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.09 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 661 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 649 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,836 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 648 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,964 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.15 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 128 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.1866 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ปากีสถาน
ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวปากีสถาน (Rice Exporters Association of Pakistan : REAP) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ในปี 2566/67 การส่งออกข้าวของปากีสถานมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่าจะส่งออกข้าวประมาณ 5.0 - 5.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.7 ล้านตัน ในปี 2565/66 เนื่องจาก ในปี 2566 อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นร้อยละ 40 ของการส่งออกข้าวโลก ได้ประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกข้าวทุกชนิดยกเว้นข้าวบาสมาติ และมาตรการเก็บภาษีสำหรับผู้ส่งออกข้าวนึ่ง ทำให้ประเทศ ผู้นำเข้าเปลี่ยนมาซื้อข้าวจากปากีสถานมากขึ้น เพื่อเป็นการลดความกดดันด้านอุปทานข้าวในประเทศที่มีจำกัด นอกจากนี้ การที่ปากีสถานส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประเทศมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากขึ้น
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์การส่งออกข้าวของปากีสถานคาดว่าจะพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่สิ้นสุด ณ เดือนมิ.ย.เนื่องจากอินเดียซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งได้ระงับการส่งออกข้าวส่งผลให้ผู้ซื้อหันมาซื้อข้าวเพิ่มขึ้นจากปากีสถานแทน
ยอดการส่งออกข้าวที่สูงเป็นประวัติการณ์ของปากีสถานช่วยผ่อนคลายอุปทานที่ตึงตัว อันเนื่องมาจากข้อจำกัดการส่งออกที่กำหนดโดยอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2566 นอกจากนี้ ยอดการส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นยังช่วยเติมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของปากีสถานอีกด้วย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการนำเข้าสินค้า
“เราเห็นอุปสงค์ข้าวที่แข็งแกร่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากอินเดียหยุดส่งออก” นายเชลา ราม เกวลานี ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวปากีสถาน (REAP) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์
อินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40% ของการส่งออกข้าวของโลก สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการสั่งห้ามการส่งออกข้าวทุกชนิดยกเว้นข้าวบาสมาติเมื่อปีที่ผ่านมา และยังเรียกเก็บภาษีสำหรับการส่งออกข้าวนึ่งอีกด้วย
นายเกวลานีระบุว่า การส่งออกข้าวของปากีสถานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2566/67 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 3.7 ล้านตันในปีก่อนหน้า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมบางรายมีมุมมองเชิงบวกมากกว่านั้น โดยระบุว่า การส่งออกข้าวอาจสูงแตะ 5.2 ล้านตัน เมื่อพิจารณาจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้
ทั้งนี้ ตัวแทนจำหน่ายในอินเดียและบริษัทการค้าระดับโลกระบุว่า ปากีสถานอาจผลิตข้าวได้ถึง 9-9.5 ล้านตันในปี 2566/2567 หลังการผลิตลดลงเหลือ 5.5 ล้านตันในปีก่อนหน้าเนื่องจากน้ำท่วม
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลง จากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.189 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
(มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก
ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่
28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,190 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,054 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,617 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,306 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.75
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 21,550 บาท ราคาลดลงจากตันละ 21,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.82
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 883 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,070 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,221 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 151 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 655 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,047 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตัน 669 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,708 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.09 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 661 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 649 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,836 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 648 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,964 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.15 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 128 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.1866 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ปากีสถาน
ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวปากีสถาน (Rice Exporters Association of Pakistan : REAP) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ในปี 2566/67 การส่งออกข้าวของปากีสถานมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่าจะส่งออกข้าวประมาณ 5.0 - 5.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.7 ล้านตัน ในปี 2565/66 เนื่องจาก ในปี 2566 อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นร้อยละ 40 ของการส่งออกข้าวโลก ได้ประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกข้าวทุกชนิดยกเว้นข้าวบาสมาติ และมาตรการเก็บภาษีสำหรับผู้ส่งออกข้าวนึ่ง ทำให้ประเทศ ผู้นำเข้าเปลี่ยนมาซื้อข้าวจากปากีสถานมากขึ้น เพื่อเป็นการลดความกดดันด้านอุปทานข้าวในประเทศที่มีจำกัด นอกจากนี้ การที่ปากีสถานส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประเทศมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากขึ้น
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์การส่งออกข้าวของปากีสถานคาดว่าจะพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่สิ้นสุด ณ เดือนมิ.ย.เนื่องจากอินเดียซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งได้ระงับการส่งออกข้าวส่งผลให้ผู้ซื้อหันมาซื้อข้าวเพิ่มขึ้นจากปากีสถานแทน
ยอดการส่งออกข้าวที่สูงเป็นประวัติการณ์ของปากีสถานช่วยผ่อนคลายอุปทานที่ตึงตัว อันเนื่องมาจากข้อจำกัดการส่งออกที่กำหนดโดยอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2566 นอกจากนี้ ยอดการส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นยังช่วยเติมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของปากีสถานอีกด้วย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการนำเข้าสินค้า
“เราเห็นอุปสงค์ข้าวที่แข็งแกร่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากอินเดียหยุดส่งออก” นายเชลา ราม เกวลานี ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวปากีสถาน (REAP) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์
อินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40% ของการส่งออกข้าวของโลก สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการสั่งห้ามการส่งออกข้าวทุกชนิดยกเว้นข้าวบาสมาติเมื่อปีที่ผ่านมา และยังเรียกเก็บภาษีสำหรับการส่งออกข้าวนึ่งอีกด้วย
นายเกวลานีระบุว่า การส่งออกข้าวของปากีสถานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2566/67 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 3.7 ล้านตันในปีก่อนหน้า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมบางรายมีมุมมองเชิงบวกมากกว่านั้น โดยระบุว่า การส่งออกข้าวอาจสูงแตะ 5.2 ล้านตัน เมื่อพิจารณาจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้
ทั้งนี้ ตัวแทนจำหน่ายในอินเดียและบริษัทการค้าระดับโลกระบุว่า ปากีสถานอาจผลิตข้าวได้ถึง 9-9.5 ล้านตันในปี 2566/2567 หลังการผลิตลดลงเหลือ 5.5 ล้านตันในปีก่อนหน้าเนื่องจากน้ำท่วม
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.88 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.90 บาท ของสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 0.22 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.10 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.21 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.10 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 294.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,359.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากตันละ 289.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,227.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.73 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 132.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนมีนาคม 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 445.00 เซนต์ (6,240.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 448.00 เซนต์ (6,327.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.67 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 87.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.049 ล้านไร่ ผลผลิต 27.941 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.088 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.350 ล้านไร่ ผลผลิต 30.732 ล้านตัน
และผลผลิตต่อไร่ 3.287 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 3.22 ร้อยละ 9.08 และร้อยละ 6.05 ตามลำดับ โดยเดือนมกราคม 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 5.289 ล้านตัน (ร้อยละ 18.93 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 16.452 ล้านตัน (ร้อยละ 58.88 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังเริ่มทยอยออกสู่ตลาด แต่ยังมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังสดอยู่ในระดับสูง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.98 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 3.02 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.32
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.54 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.55 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.13
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.94 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.96 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.25
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,880 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,920 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 572.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,330 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (20,420 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมกราคมจะมีประมาณ 1.063 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.191 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.100 ล้านตัน
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.198 ล้านตันของเดือนธันวาคม 2566 คิดเป็นร้อยละ 3.63 และร้อยละ 3.54 ตามลำดับ
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.198 ล้านตันของเดือนธันวาคม 2566 คิดเป็นร้อยละ 3.63 และร้อยละ 3.54 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 6.01 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.28 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.30
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 32.38 บาท ลดลงจาก กก.ละ 33.98 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.71
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันพืชคู่แข่ง และได้รับผลกระทบจากค่าเงินริงกิตที่แข็งค่าขึ้น แต่ราคาน้ำมันปาล์มยังคงได้รับแรงเสริมจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ลดลงไม่มากนัก ทั้งนี้สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มยังขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ยังไม่แน่นอน
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,858.52 ริงกิตมาเลเซีย (29.52 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 3,987.47 ริงกิตมาเลเซีย (30.50 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.24
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 975.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34.73 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 978.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.31
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- สมาพันธ์สหกรณ์โรงงานน้ำตาลแห่งชาติ (NFCSF) ของประเทศอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียทำการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติภาษีเงินได้หลายมาตราเพื่อสนับสนุนโรงงานน้ำตาลโดยอนุญาตให้โรงงานสามารถหักค่าอ้อยเป็นงบประมาณรายจ่าย และให้สามารถดำเนินการหักค่าผลิตเอทานอลคืนจากภาษีเงินได้ ในขณะเดียวกันองค์กรชาวไร่อ้อยในรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) กำลังประท้วงเพื่อผลักดันให้รัฐประกาศราคาอ้อยที่สูงขึ้น โดยต้องการราคาที่ใกล้เคียงกับ 4,500 รูปีอินเดีย/ตัน (54 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน) เนื่องจากข้อสังเกตว่า ราคาน้ำตาลในรัฐอุตตรประเทศ ต่ำกว่าอัตราราคาที่ประกาศของรัฐปัญจาบ (Punjab) และรัฐหรยาณา (Haryana) นอกจากนี้รัฐอุตตรประเทศ ยังจัดทำโครงการ Smart Sugarcane Kisan ออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกตอบสนองต่อความคิดเห็นจากทางชาวไร่อ้อย
- เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลปากีสถาน กล่าวว่า การปราบปรามการลักลอบขนสินค้า และการหลีกเลี่ยงภาษีน่าจะสามารถช่วยทำให้สต็อกน้ำตาลเพิ่มเติมขึ้นอีกประมาณ 1 ล้านตัน ในปี 2567 ในขณะที่การผลิตน้ำตาลคาดว่าจะสูงถึง 6.50 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 6.20 ล้านตัน ในปีที่ผ่านมา และกล่าวเสริมว่า ด้วยเหตุนี้ปากีสถานจึงไม่จำเป็นต้องนำเข้าน้ำตาลทรายดิบ และจะหารือถึงวิธีการดำเนินการชำระเงินที่เป็นหนี้กับ Trading Corporation of Pakistan (TCP) สำหรับน้ำตาลที่มีการนำเข้าในปี 2563 – 2565
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,205.32 เซนต์ (15.72 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,227.20 เซนต์ (16.16 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.78
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 360.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.81 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 357.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.81 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.93
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 45.58 เซนต์ (35.66 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 47.43 เซนต์ (37.47 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.90
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,205.32 เซนต์ (15.72 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,227.20 เซนต์ (16.16 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.78
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 360.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.81 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 357.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.81 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.93
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 45.58 เซนต์ (35.66 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 47.43 เซนต์ (37.47 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.90
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.60 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 27.00 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 1.48
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.20 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 50.00 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 1.60
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.80 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.00 บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 9.41
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 996.00 ดอลลาร์สหรัฐ (35.05 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 989.20 ดอลลาร์สหรัฐ (35.06 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 784.20 ดอลลาร์สหรัฐ (27.60 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 790.20 ดอลลาร์สหรัฐ (28.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.76 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.40 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,430.80 ดอลลาร์สหรัฐ (50.35 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,444.40 ดอลลาร์สหรัฐ (51.19 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.94 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.84 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 938.80 ดอลลาร์สหรัฐ (33.04 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 932.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69 แต่คงตัวในรูปเงินบาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 898.60 ดอลลาร์สหรัฐ (31.62 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 983.60 ดอลลาร์สหรัฐ (34.86 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.64 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 3.24 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 47.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.56 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 32.39 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.56
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,052 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 2,078 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.25 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,434 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,425 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.63 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 975 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 967 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.82 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.93 บาทสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 67.75 คิดเป็นร้อยละ 0.27 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.38 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.06 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 70.21 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 68.51 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,700 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 40.19 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 40.11 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.20 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.69 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 13.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีน้อยกว่าผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 357 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 362 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.38 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 335 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 352 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 363 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 372 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 380 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.11 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 407 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 406 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.25 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 417 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 424 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 374 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 433 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 447 ลดลงจากร้อยฟองละ 460 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.83 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 88.06 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 88.24 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.20 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.98 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 81.36 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.50 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 108.64 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 64.44 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 65.93 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.66 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 58.24 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 61.88 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 61.29 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.59 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.60 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 81.75 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.85 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.66 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 124.07 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.59 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 128.33 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.65 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 65.34 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.31 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 61.88 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 61.29 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.59 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.60 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 81.75 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.85 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.66 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 124.07 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.59 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 128.33 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.65 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 65.34 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.31 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา