- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 6-12 พฤษภาคม 2567
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.310 ล้านไร่ ผลผลิต 26.308 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 422 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.62 ร้อยละ 2.89 และ ร้อยละ 2.18 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี และในปี 2567
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ว่าสภาพภูมิอากาศเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2567 จะอยู่ในสภาวะเอลนีโญ แต่มีแนวโน้มสูงที่จะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2567 และมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2567 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว สภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเพาะปลูกและระยะเจริญเติบโต เกษตรกรจึงขยายเนื้อที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่ปล่อยว่างเมื่อปี 2566 สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น จากปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ผลผลิตจะออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปริมาณ 16.884 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 64.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.708 ล้านไร่ ผลผลิต 6.238 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 8.47 ร้อยละ 9.82 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนพฤษภาคม 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.851 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 13.64 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2567 อีก 0.524 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.40 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 – 31 มีนาคท 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,018 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,948 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,499 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,410 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 33,550 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 32,790 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.32
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 20,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 20,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.95
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 873 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,975 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 858 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,492 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 483 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 614 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,489 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตัน 599 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,985 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.50 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 504 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 611 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,379 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 597 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,912 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.35 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 467 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.6267 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) เวียดนาม
สมาคมอาหารเวียดนาม รายงานว่า ราคาข้าวของเวียดนามในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตันละ 3 – 8 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 110 – 293 บาท) จากสัปดาห์ก่อน ทำให้เวียดนามกลับมาครองตำแหน่งผู้นำด้านราคาส่งออกข้าว โดยราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 585 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 21,427 บาท) ซึ่งสูงกว่าราคาข้าวชนิดเดียวกันของไทยและปากีสถาน ตันละ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 110 บาท) และตันละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 366 บาท) ตามลำดับ สำหรับราคาข้าวขาว 25% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 555 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 20,328 บาท) สูงกว่าราคาข้าวของไทยและปากีสถาน ตันละ 23 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 842 บาท) และตันละ 13 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 476 บาท) ตามลำดับ ส่วนราคาข้าวหัก 100% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 470 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 17,215 บาท) สูงกว่าราคาข้าวของไทยและปากีสถาน ตันละ 21 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 769 บาท) และตันละ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 916 บาท) ตามลำดับ
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2567 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกข้าวปริมาณ 3.23 ล้านตัน มูลค่า 2,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 76,200 ล้านบาท) ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 11.70 และร้อยละ 36.50 ตามลำดับ และคาดว่าในปี 2567 เวียดนามจะผลิตข้าวได้ประมาณ 43 ล้านตัน ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการบริโภคภายในประเทศและยังส่งออกข้าวได้มากกว่า 8 ล้านตัน
ที่มา สำนักข่าวซินหัว, สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.6267 บาท
2) อินโดนีเซีย
กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) คาดการณ์ว่า ในปีการผลิต 2567/68 อินโดนีเซียจะมีผลผลิตข้าวปริมาณ 33 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 32.10 ล้านตันข้าวสาร ในปีการผลิต 2566/67 ที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้สภาพอากาศแห้งแล้งส่งผลต่อการผลิตข้าวของอินโดนีเซีย ในการนี้ รัฐบาลได้เพิ่มการจัดสรรปุ๋ยอุดหนุนเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มการผลิตข้าวมากขึ้น สำหรับด้านการบริโภคข้าวในปี 2567/68 คาดว่ามีปริมาณ 35.40 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 35.10 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.85 ด้านการนําเข้า ในปี 2567/68 คาดว่าจะนำเข้าข้าวปริมาณ 1 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปริมาณ 3 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือลดลงร้อยละ 66.67 และสต็อกข้าวปลายปี ในปี 2567/68 คาดว่ามีปริมาณ 3.40 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปริมาณ 4.80 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือลดลงร้อยละ 29.17
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้มอบหมายให้หน่วยงานกำกับดูแลควบคุมปริมาณและราคาข้าว (BULOG) ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อข้าวในปี 2567 ปริมาณ 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 2.10 ล้านตัน ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เพื่อชดเชยผลผลิตข้าวที่ลดลงจากการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.6267 บาท
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.310 ล้านไร่ ผลผลิต 26.308 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 422 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.62 ร้อยละ 2.89 และ ร้อยละ 2.18 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี และในปี 2567
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ว่าสภาพภูมิอากาศเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2567 จะอยู่ในสภาวะเอลนีโญ แต่มีแนวโน้มสูงที่จะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2567 และมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2567 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว สภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเพาะปลูกและระยะเจริญเติบโต เกษตรกรจึงขยายเนื้อที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่ปล่อยว่างเมื่อปี 2566 สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น จากปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ผลผลิตจะออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปริมาณ 16.884 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 64.18 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.708 ล้านไร่ ผลผลิต 6.238 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 8.47 ร้อยละ 9.82 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนพฤษภาคม 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.851 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 13.64 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2567 อีก 0.524 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.40 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 – 31 มีนาคท 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,018 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,948 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,499 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,410 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 33,550 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 32,790 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.32
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 20,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 20,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.95
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 873 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,975 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 858 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,492 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75 และสูงขึ้นในรูปเงินบาท
ตันละ 483 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 614 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,489 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตัน 599 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,985 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.50 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 504 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 611 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,379 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 597 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,912 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.35 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 467 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.6267 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) เวียดนาม
สมาคมอาหารเวียดนาม รายงานว่า ราคาข้าวของเวียดนามในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตันละ 3 – 8 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 110 – 293 บาท) จากสัปดาห์ก่อน ทำให้เวียดนามกลับมาครองตำแหน่งผู้นำด้านราคาส่งออกข้าว โดยราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 585 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 21,427 บาท) ซึ่งสูงกว่าราคาข้าวชนิดเดียวกันของไทยและปากีสถาน ตันละ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 110 บาท) และตันละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 366 บาท) ตามลำดับ สำหรับราคาข้าวขาว 25% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 555 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 20,328 บาท) สูงกว่าราคาข้าวของไทยและปากีสถาน ตันละ 23 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 842 บาท) และตันละ 13 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 476 บาท) ตามลำดับ ส่วนราคาข้าวหัก 100% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 470 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 17,215 บาท) สูงกว่าราคาข้าวของไทยและปากีสถาน ตันละ 21 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 769 บาท) และตันละ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 916 บาท) ตามลำดับ
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2567 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกข้าวปริมาณ 3.23 ล้านตัน มูลค่า 2,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 76,200 ล้านบาท) ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 11.70 และร้อยละ 36.50 ตามลำดับ และคาดว่าในปี 2567 เวียดนามจะผลิตข้าวได้ประมาณ 43 ล้านตัน ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการบริโภคภายในประเทศและยังส่งออกข้าวได้มากกว่า 8 ล้านตัน
ที่มา สำนักข่าวซินหัว, สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.6267 บาท
2) อินโดนีเซีย
กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) คาดการณ์ว่า ในปีการผลิต 2567/68 อินโดนีเซียจะมีผลผลิตข้าวปริมาณ 33 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 32.10 ล้านตันข้าวสาร ในปีการผลิต 2566/67 ที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้สภาพอากาศแห้งแล้งส่งผลต่อการผลิตข้าวของอินโดนีเซีย ในการนี้ รัฐบาลได้เพิ่มการจัดสรรปุ๋ยอุดหนุนเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มการผลิตข้าวมากขึ้น สำหรับด้านการบริโภคข้าวในปี 2567/68 คาดว่ามีปริมาณ 35.40 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 35.10 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.85 ด้านการนําเข้า ในปี 2567/68 คาดว่าจะนำเข้าข้าวปริมาณ 1 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปริมาณ 3 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือลดลงร้อยละ 66.67 และสต็อกข้าวปลายปี ในปี 2567/68 คาดว่ามีปริมาณ 3.40 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปริมาณ 4.80 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือลดลงร้อยละ 29.17
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้มอบหมายให้หน่วยงานกำกับดูแลควบคุมปริมาณและราคาข้าว (BULOG) ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อข้าวในปี 2567 ปริมาณ 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปริมาณ 2.10 ล้านตัน ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เพื่อชดเชยผลผลิตข้าวที่ลดลงจากการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.6267 บาท
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.70 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.57 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.52 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.80 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.77 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.40 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.24 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.56 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 288.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,529.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากตันละ 283.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,378.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.77 และสูงขึ้น ในรูปของเงินบาทตันละ 151.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 464.00 เซนต์ (6,763.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 450.00 เซนต์ (6,574.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.11 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 189.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.682 ล้านไร่ ผลผลิต 26.877 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,096 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.268 ล้านไร่ ผลผลิต 30.617 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,303 กิโลกรัม พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 6.32 ร้อยละ 12.21 และร้อยละ 6.27 ตามลำดับ โดยเดือนพฤษภาคม 2567 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.032 ล้านตัน (ร้อยละ 3.84 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 15.712 ล้านตัน (ร้อยละ 58.46 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีคุณภาพต่ำ ส่งผลให้ราคาหัวมันสำปะหลังลดต่ำลง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.39 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 2.44 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.05
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.68 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.69 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.15
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.46 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.43 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.40
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขตกรุงเทพ และปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.85 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 18.91 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.32
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 230.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,480 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 234.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,660 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.71
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 557.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,550 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 561.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,790 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.71
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2567 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤษภาคมจะมีประมาณ 1.695 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.305 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.780 ล้านตัน
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.320 ล้านตันของเดือนเมษายน คิดเป็นร้อยละ 4.77 และร้อยละ 4.69 ตามลำดับ
คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.320 ล้านตันของเดือนเมษายน คิดเป็นร้อยละ 4.77 และร้อยละ 4.69 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้ เฉลี่ย กก.ละ 4.12 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 4.28 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.74
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 32.38 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 31.93 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.41
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และยังมีแรงต้านจากราคาน้ำมันพืชคู่แข่งที่ปรับตัวลดลง
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,923.03 ริงกิตมาเลเซีย (30.92 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 3,895.46 ริงกิตมาเลเซีย (30.65 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.71
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,050.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (38.86 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,009.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.48 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.02
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 21.57 บาท ลงลดจากกิโลกรัมละ 23.00 บาท
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.22
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 22.75 บาท
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,215.40 เซนต์ (16.53 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 1,170.64 เซนต์ (15.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.82
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 373.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.83 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 352.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.11
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 43.20 เซนต์ (35.24 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 42.71 เซนต์ (34.94 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.15
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 21.57 บาท ลงลดจากกิโลกรัมละ 23.00 บาท
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.22
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 22.75 บาท
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,215.40 เซนต์ (16.53 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 1,170.64 เซนต์ (15.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.82
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 373.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.83 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 352.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.11
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 43.20 เซนต์ (35.24 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 42.71 เซนต์ (34.94 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.15
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.00 ใน สัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.04
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.50 ใน สัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.45
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 955.50 ดอลลาร์สหรัฐ (34.96 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 953.75 ดอลลาร์สหรัฐ (35.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 818.50 ดอลลาร์สหรัฐ (29.95 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 816.75 ดอลลาร์สหรัฐ (29.98 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,395.25 ดอลลาร์สหรัฐ (51.05 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,365.00 ดอลลาร์สหรัฐ (50.10 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.22 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.95 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 983.00 ดอลลาร์สหรัฐ (35.97 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 967.50 ดอลลาร์สหรัฐ (35.51 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.60 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.46 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 840.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.74 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ ละ 838.50 ดอลลาร์สหรัฐ (30.78 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 47.13 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 46.39 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.60
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.89 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 29.59 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 21.29
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,154 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,984 บาท คิดเป็นร้อยละ 8.57 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,616 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,493 บาท คิดเป็นร้อยละ 8.24 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 954 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
ไข่เป็ด
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 69.69 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.19 คิดเป็นร้อยละ 2.20 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.88 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 66.09 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 72.89 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 68.38 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,900 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 41.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 41.04 คิดเป็นร้อยละ 0.10 ของสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.68 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 16.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.50 บาท บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 360 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 352 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.27 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 333 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 354 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 368 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 412 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 416 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 415 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.24 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 431 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 432 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 388 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 425 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 480 บาทสูงขึ้นจากร้อยฟองละ 460 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.35
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 85.27 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 85.19 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.04 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 74.30 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.72 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 109.29 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 61.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 62.47 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.83 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 55.27 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 6 – 12 พฤษภาคม 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.88 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 63.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.08 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.18 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 85.99 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.19 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.13 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.43 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.19 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.76 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป
ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 6 – 12 พฤษภาคม 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.88 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 63.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.08 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.18 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 85.99 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.19 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.13 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.43 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.19 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.76 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป
ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา